ผู้เขียนเคยเห็นหลายคนแนะนำในบอร์ดหรือที่ใหนสักแห่ง ว่าเรียนภาษาอังกฤษที่ใหนก็ได้ถ้าตั้งใจจริง เรียนหนักๆ ฝึกพูดให้มาก ฝึกอ่าน ฝึกฟังให้มาก ก็เก่งได้เหมือนกันนั่นแหละ ก็จริงส่วนหนึ่งนะครับ ในส่วนของความตั้งใจจริง ส่วนที่บอกว่าเรียนในไทย สิงคโปร์ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แม้กระทั่งอเมริกา เรียนที่ใหนๆ ก็เหมือนกัน
…ผมกล้ารับประกันว่าไม่เหมือนกันนะครับ…ถ้าอยากเก่งแกรมม่า เก่งทำข้อสอบภาษาอังกฤษ ก็อ่านหนังสือ ฟังเทป ดูวีดีโอ เรียนอยู่ที่บ้านก็เก่งกว่าคนอื่นได้ครับ ถ้าตั้งใจจริงอย่างว่า แต่ถ้าจะลงทุนขนาดต้องบินไปเรียนในต่างประเทศ ผมเอาคอรับประกันว่าประสบการณ์ในแต่ละที่ …ไม่มีทางเหมือนกัน ไม่ได้บอกว่าที่ใหนดีกว่ากันนะครับ ผมกำลังจะบอกว่าได้ประสบการณ์ ได้สิ่งที่ติดตัวมาแตกต่างกัน ผมถามหน่อยครับ ถ้าคุณไปร้านเจ๊เล้ง เทียบของแท้กับของเกือบแท้วัสดุเดียวกัน ติดยี่ห้อเดียวกัน แยกกันแทบไม่ออก ทำไมราคามันต่างกันครับลิบเลยครับ เพราะของแท้เขามีคุณภาพดีกว่าจริงๆนะครับ ทุกรอยฝีเข็ม ทุกตารางนิ้วเขามี QC ตรวจในมาตรฐานที่สูงลิบลิ่วกว่าของเกือบแท้
เช่นเดียวกับการเรียนภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เรียนออกมาแล้วยืนซดก๋วยเตี๋ยวเรืออยู่ริมทาง หรืออุตส่าห์บินไปเรียน แต่เดินออกห้องเรียนมายังเจออาแป๊ะอาม่า หรือแขกใส่ภาษาซาวแทร็กกันรอบๆ ตัว ใครจะว่ายังไงก็ช่างละ ผมอยากบอกว่า ถ้าคิดจะเรียนภาษาอังกฤษให้ดี ที่เป็นการลงทุนแบบสมเหตุสมผล ควรไปเรียนที่บ้านเจ้าของภาษาดีกว่าครับ ถ้าไม่อยากไปไกลก็ออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์ สำเนียงออกจะแปลกไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้แปลกกว่าแถบเอเชียด้วยกันหรอกน่า อเมริกาก็เป็นทางเลือกยอดฮิต เพราะมีเมืองให้เลือกเยอะ ราคาก็สมเหตุสมผล นักบริหารบอกว่าทุกอย่างอยู่ที่การวางเป้าหมายไว้ และต้องไปถึงให้ได้ ถ้าอาชีพการงานเราจะดีขึ้นได้เพราะภาษาฯ เราดีขึ้น เราก็ต้องทำให้ได้
เพราะพอเราไปถึงที่นั่น ทุกคนพูดอังกฤษหมด ราวกับว่าทั้งโลกพูดอังกฤษหมด เอาสิ…เรียนแค่วิชาเดียวดูสิว่าภาษาอังกฤษจะดีขึ้นมั้ย ผู้เขียนตั้งใจไว้แบบนี้ตลอด ที่สำคัญถ้าไปเรียนแบบที่ผู้เขียนจะแนะนำ ค่าใช้จ่ายอาจจะไม่ได้แพงเท่าที่หลายคนเข้าใจ ผมหมายถึงไปเองนะครับ เดินเรื่องเอง ติดต่อเองทุกอย่างไม่ผ่านนายหน้าหรือเอเจนซี่ ทุกวันนี้ยุคโลกาภิวัฒน์แล้วครับ ทุกอย่างเขาทำกันออนไลน์ในพริบตา ท่านถ้าจะได้ราคาประหยัดแบบคุ้มราคาจริงๆ ต้องตัดพ่อค้าคนกลาง ไปถามคนที่เคยไปมาแล้ว ผมว่าส่วนใหญ่ก็น่าจะแนะนำแบบนี้ สมมุติว่าไปเรียนภาษาที่ประเทศอังกฤษ 6 เดือน รวมทุกอย่างแล้วเป็นตัวเลขกลมๆ คุณว่าจะสักประมาณเท่าใหร่? ไม่ต้องเดาครับ ผมมี 2 โรงเรียนยอดฮิตมาให้ดูเป็นตัวอย่าง (ผมไม่ได้ค่าสปอนเซอร์นะครับ)
โรงเรียนแรก อยู่ใกล้ๆ Hyde Park อาคารเรียนติดศูนย์การค้าใหญ่ ห่างกันแค่ 2-3 ก้าว วันใหนอากาศดี ครูจะพาไปนั่งเรียนที่สวน Kensington Gardens ที่มีพื้นที่ต่อมาจาก Hyde park นั่นเอง ที่นี่ค่าเล่าเรียนจะค่อนข้างน่าสนใจมาก
โรงเรียนที่สอง อยู่ Wimbledon ห่างออกไปนิดหน่อย แต่เป็นโซนที่ได้ชื่อว่าร่มรื่นสวยงาม น่าอยู่มากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงลอนดอน ที่นี่ราคาค่าเล่าเรียนค่อนข้างจะสูงกว่าที่แรก
ทั้งสองแห่งน้องสาวผมเคยเรียน ยืนยันว่าได้มาตรฐานที่ดีทั้งคู่ และรับรองโดย British Council
โรงเรียนแห่งแรก (ประจำปี 2513)
ค่าเล่าเรียน 6 เดือน (24 weeks)แนะนำ Lunchtime course = £728 x2 = £1,456 (72,800 Baht)
ค่าที่พัก Home Stay- (B&B) Single Room = £1,596 x2 = £3,192 (159,600 Baht)
โรงเรียนแห่งที่สอง
ค่าเล่าเรียน 6 เดือน (24 weeks) = £5,208 (260,400 Baht)
ค่าที่พัก Home Stay- (B&B) Single Room = £125 x24 = £3,000 (150,000 Baht)
มีประหยัดกว่านี้อีกครับ ส่วนที่ประหยัดได้อีกคือค่าที่พัก เพราะเวลาจอง Home Stay ส่วนใหญ่จะให้จ่ายมัดจำล่วงหน้าก่อนสัก 1 เดือน พอไปอยู่ก่อนครบเดือนก็ลองเดินหาที่พักเอง บอกเลยครับว่าที่พักหาไม่ยาก จากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น หรือตามป้ายหน้าร้านค้าบริเวณนั้นๆ ชอบบรรยากาศตรงใหนก็ลงไปเดินเล่นๆ ดู รับรองว่ามีห้องให้เช่าแน่นอน คนที่นั่นบางคนต้องการหารายได้เสริมเพราะมีห้องว่างๆ และชอบนักเรียนเอเชียไปเช่าที่บ้านครับ เพราะอุปนิสัยเรียบร้อยกว่าชาติอื่นที่จะค่อนข้างวุ่นวาย เรื่องมากกว่าครับ ที่สำคัญค่าเช่าถูกกว่าประมาณเกือบครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับที่โรงเรียนหาให้ เพราะที่โรงเรียนเขาจะหักค่าหัวคิว แถมยังผ่านเอเจนซี่อีกต่างหาก โดนหลายต่อเลย ถ้ายิ่งอยู่โซนสามออกไปก็ยิ่งถูกไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะคนเรียนเป็นผู้ชายก็ลุยเลย บางทีบ้านสามชั้นอาจจะได้ทั้ง floor ส่วนความปลอดภัยโดยเฉลี่ยที่อังกฤษค่อนข้างสูงครับ ผมชอบนะ เพราะโซนนอกๆ ออกไป บ้านจะมี common park (สวนประจำหมู่บ้าน) แบบกว้างๆ เล่นฟุตบอล หรือบางแห่งมีสนามเทนนิสเล่นได้ทุกวัน ในเมืองโซน 1-2 ส่วนมากจะเป็นแบบทาวเฮ้าส์บ้านเรา อยู่ Home Stay ก็ใช่ว่าจะเลือกได้ใกล้ๆ ที่เรียน อาจต้องเดินจากสถานีไปบ้านอีกระยะหนึ่ง แต่ลอนดอนเป็นเมืองที่การคมนาคมต้องยกนิ้วให้ จุดไกลสุดของรถไฟหรือรถเมล์ ผมว่าเดินถึงบ้านไม่น่าจะเกิน 5 นาที (ยกเว้นโซนนอกเมืองไกลๆ ที่รถไฟไปไม่ถึงนะครับ)
ส่วนการเดินทางก็ตั๋วเดือนเลยครับ
Oyster Card เป็นคล้ายๆ กับการจ่ายค่าล่วงหน้าบางส่วนหรือมัดจำ เพราะเมื่อนำบัตรไปคืน จะรับเงินมัดจำคืนได้ ซึ่ง Oyster Card ทำให้เราสามารถนำไปซื้อตั๋วประเภทต่างๆ ได้อีก เช่น
- Travel Card ใช้เดินทางทุกระบบการขนส่งมวลชนของกรุงลอนดอน เช่น Bus, Tube, DLR, London Overground และ Tramได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ตามจำนวนโซนที่เลือกและจำนวนวันที่ต้องการใช้เดินทาง เช่น 1-Day, 7-Day, รายเดือน และ รายปีเลยทีเดียว
- Bus and Tram Passes เป็นตั๋วสำหรับผู้ที่เลือกเดินทางโดย Bus และ Tram ตามจำนวนโซนที่เลือกและจำนวนวันที่ต้องการใช้เดินทาง โดยนำบัตร Oyster Card ไปแตะเครื่องอ่านบัตรที่อยู่บนรถทุกครั้ง
- Pay as you go เป็นการเติมเงินเข้าไปในบัตร Oyster Card โดยจะคิดค่าเดินทางเป็นครั้งตามราคาของระบบขนส่งที่ใช้และโซนที่เดินทางเช่น ซื้อบัตรโซน 1 – 2 และเติมเงินแบบ Pay as you go ไว้ในบัตรด้วย หากเราเดินทางไปโซน 3 ระบบจะหักเงินเพิ่มจาก Pay as you go เฉพาะในโซน 3 ที่เกินออกไปและจะได้เปรียบในส่วนที่เรียกว่า Price Cap หากเดินทางนอกโซนหลายรอบ จะตัดจนถึงราคาตัดสูงสุดไว้ เมื่อตัดแล้วระบบจะไม่ตัดเงินเราเพิ่มอีก แม้ว่าจะเดินทางอีกกี่เที่ยวก็ตาม ค่าเดินทางช่วงเวลารีบเร่ง Peak Time (06.30 – 09.30, 16.00 – 19.00 วันจันทร์ – ศุกร์ ยกเว้นวันหยุด) จะแพงกว่าเล็กน้อย
London Pass ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวและอยากจะไปเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวของกรุงลอนดอนไปด้วย การซื้อบัตร London Pass จะได้สิทธิพิเศษต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น หนังสือ Guide Book และแผนที่ฟรี เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ของลอนดอนฟรี ได้ส่วนลดจากร้านค้า และร้านอาหารในลอนดอนมากมายหลายแห่ง ที่สำคัญคือสามารถเดินทางโดยใช้ทุกระบบขนส่งของลอนดอนฟรี โดยไม่จำกัดจำนวนเที่ยวภายในโซน 1 – 6 London Pass (ต้องซื้อ London Pass with Travel) มี 4 แบบ ได้แก่ 1 วัน, 2 วัน, 3 วัน และ 6 วัน สามารถหาซื้อได้ทั่วไป และซื้อ Online
ลองคำนวนดูนะครับ ตอนนี้ที่เหลือคือค่าอาหาร และของใช้ส่วนตัว ถ้าผมไปตอนนี้และคำนวนเอาเองนะครับ เรียนภาษาหกเดือนจนจบกลับมา ได้ Certificate ระดับใดระดับหนึ่งจากโรงเรียนที่เป็นที่รับรองฯ ในลอนดอน…ถามว่า ราคาประมาณนี้ …ได้ประสบการณ์ขนาดนี้ คุ้มมั้ย!! บางคนชอบบอกแค่จบอังกฤษกลับมา ดูราวกับจบปริญญาโท บางคนแอบไปเรียน short course Part-Time ราคาไม่แพงในมหาวิทยาลัยดังๆ แล้วได้ Certificate คู่กันมาเลย
อย่าลืมว่าจุดมุ่งหมายในหัวข้อนี้คือไปเรียนภาษาอังกฤษเพียวๆ แบบให้ได้เรื่องได้ราวมากที่สุดนะครับ เพราะเขาไม่อนุญาติให้ทำงานใดๆ ดังนั้นถ้ามีเงินพอที่จะจ่ายได้ ผมอยากให้นำไปเปรียบเทียบกับที่อื่นๆ ที่ราคาใกล้เคียงกันครับ…
…เพียงแค่อยากให้เพิ่มอีกหนึ่งตัวเลือก… จากใจผมครับ