บทที่ 1 : Creative คือใคร? มีผู้อ่านสองท่าน เขียนมาถามผมเรื่องเดียวกันคือการทำงานเป็นครีเอทีฟในบริษัทโฆษณา ควรจบด้านใหน? และควรเรียนรู้สิ่งใดเพิ่มเติม?
ขอทบทวนความเข้าใจร่วมกันอีกครั้งนะครับ อาจจะเป็นเรื่องรู้กันอยู่ ก็เผื่อคนที่ไม่ทราบนะครับ Creative มีชื่อตำแหน่งที่แตกต่างกันตามความถนัด อายุงาน และขอบเขตของความรับผิดชอบ โดยทั่วไปมีสองสายนะครับ (เข้าใจว่าหลายท่านน่าจะทราบแล้ว)
_สาย Copywriter
_สาย Art Director
ในแผนกของ Creative จะแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีหัวหน้าทีมคือ Creative Director หรือ Associat Creative Director แล้วแต่ความอาวุโส เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบงานในกลุ่มทั้งหมด รองลงมาคือ Creative Group Head ที่มีหน้าที่คล้ายๆกัปตันในร้านอาหารที่คอยจับปูใส่กระด้ง ดูแลน้องๆให้ทำงานตรงร่องตรงทาง ตรงเวลา ซึ่งน้องๆดังกล่าวคือ Copywriter และ Art Director ที่จับคู่ทำงานกันเป็นคู่ๆ คนหนึ่งคิดแนวทางของข้อความ ส่วนอีกคนหาทางกำหนดรูปแบบของภาพออกมาตาม concept ที่ได้รับมา
สำหรับความคิดเห็นของผม การจะเป็นครีเอทีฟมี 2 ทางนะครับ
1_ เรียนสายนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ การตลาด อักษรศาสตร์ หรือสาขาใกล้เคียงกับการทำงาน
2_ เรียนสาขาอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่บังเอิญสนใจอยากทำงานด้านนี้มากๆ
ท่านที่อยู่ในข้อที่ 1 ถือว่าเรียนมาค่อนข้างตรง …โดยเฉพาะนิเทศศาสตร์กับวารสารฯ ก็น่าจะครบถ้วนทุกอย่าง เมื่อดูจากวิชาต่างๆที่เรียนมา การเป็นครีเอทีฟอาจจะดูได้เปรียบกว่าสาขาอื่น เช่น ผู้ที่เรียนการตลาด อาจจะเหมาะกับการทำงานเกี่ยวกับการตลาด เช่น เป็น AE (Account Executive) ผู้บริหารงานลูกค้า หรือเป็นผู้ติดต่อประสานงานกับลูกค้า รวมทั้งเป็นผู้ให้คำแนะนำ ความเห็นทางการตลาดแก่ลูกค้าของตน ส่วนผู้ที่เรียนอักษรศาสตร์ จะเจาะจงลงไปอีกคือเหมาะกับตำแหน่ง “Copywriter” เพราะต้องรู้เรื่องการใช้ภาษาที่ถูกต้องและมีทักษะที่ดีในการใช้สำบัดสำนวนของภาษา ก็มักจะได้เปรียบคนอื่น ทั้งนี้ก็ต้องดูความถนัดจริงๆด้วย เพราะบางคนทำ Copywriter ไปสักพัก กลับเปลี่ยนไปทำ Art Director ก็มีเยอะแยะ เพราะการเรียนรู้ในงานเริ่มมีมากขึ้น อาจจะเข้ากับบุคลิกหรือความถนัดของตนเองที่เห็นชัดมากขึ้น…ไม่มีอะไรตายตัว ผมพูดกลางๆไว้นะครับ
ท่านที่อยู่ในข้อ 2 คือท่านที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาโดยตรง แต่สนใจอยากจะทำงานครีเอทีฟ ก็ไม่ผิดกติกาใดๆ เพราะผมยังไม่เคยได้ยินใครกำหนดขึ้นมาว่า “ห้ามรับคนทำงานครีเอทีฟ ที่ไม่ได้เรียนจบสาขาที่เกี่ยวข้องกับงานโฆษณา” แต่ต้องทำใจนะครับ อันนี้เรื่องจริง…ผมเองเวลารับสมัครลูกน้องก็ทำเช่นนั้น คือเวลาไปสมัครงาน ฝ่ายบุคคลเขาจะคัดเลือกเอาผู้ที่จบในสถาบันที่เป็นที่รู้จักขึ้นมาก่อน พูดง่ายๆคือ น่าจะทำงานชัวร์กว่า สอนได้ง่ายกว่า … แม้ว่าบางคนที่ไม่ได้จบมาโดยตรงมีผลงานที่โดดเด่นมากกว่าตอนสมัครงาน หากสัมภาษณ์แล้ว ให้ลองทำงานแล้ว…ดูเหมือนว่าจะไม่ประทับใจเท่า CV ที่ส่งมา ก็ตั้งข้อสงสัยได้เลยว่า “ไม่ได้ทำเอง” ใบสมัครก็อาจจะตกหล่นไปเลย คนที่เข้าทำงานในบริษัทใหญ่ๆ แต่ไม่ได้จบมาโดยตรง สัณนิษฐานได้เลยว่าถ้าไม่ “เก่งบัลลัยกัลล์” ก็ “เด็กเส้น” เก่งบ้าง ไม่เก่งบ้าง ก็วัดดวงกันไปครับ ระบบพึงพาในบ้านเมืองเรา เป็นสิ่งที่ห้ามพูดกันครับ
_บางท่านที่จบมาตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง เลยขาดความมั่นใจก็อยากจะบอกว่า งานครีเอทีฟเป็นงานที่ต้องการประสบการณ์จริง หากต้องการทำงานสายนี้จริงๆ ควรหาที่ฝึกงานให้ได้ ยิ่งได้บริษัทใหญ่ๆยิ่งดี ต้องอาศัยดวงด้วยนะ บางทีเข้าไปได้แต่ถูกใช้ทำงานถ่ายเอกสารก็มีเยอะ แนะนำว่าพยายามเกาะพี่ๆ ที่ทำงานใหม่ๆ ตีสนิทสักคนให้ได้ ชวนทำอะไรด้วยกัน ชาวครีเอทีฟมีใจสงสารเยอะอาจจะให้งานจริงๆให้คุณทำลองดูก็ได้ (สาวๆอย่าไปจีบพี่เขาล่ะ พวกนี้ส่วนมากอารมณ์อ่อนไหวง่าย สงสารเขาน้าาา) และหากคุณมีความตั้งใจทำงานที่ดีมาก แถมมีแววในการคิดงานที่ดี ก็ถือได้ว่าเป็นการสร้างโอกาสให้กับตัวเองอย่างดีที่สุด
_งานครีเอทีฟ วัดกันที่ “การคิดงาน” เห็นไอเดียได้ชัด จับต้องได้ ตอบโจทย์ ตรงประเด็น น่าสนใจ แถมดูดีแตกต่างจากคนอื่นได้มากแค่ใหน ถ้าคุณทำไม่ได้ ก็อย่าฝืน เพราะคนเก่งด้านนี้มีเยอะมาก เข้าไปทำงานแล้ว มันจะเห็นชัดมาก ผมไม่ได้บอกว่า “คุณไม่เก่ง ไม่มีวันทำได้” แต่ผมกำลังบอกว่า 1 ปีแรกในการทำงานคือการพิสูจน์ตัวเองว่า เราเหมาะสมกับสายงานนี้จริงๆหรือไม่ หากการพัฒนาการมีไม่มากนัก ด้วยตัวเราเองเป็นคนไม่ค่อยชอบออกไปเผชิญโลกกว้างสักเท่าใหร่ ไม่ค่อยชอบคุยกับผู้คน ชอบอยู่คนเดียว ทำงานคนเดียว ขี้งอน ขี้น้อยใจ …สิ่งเหล่านี้อาจเป็นอุปสรรคในการคิด สร้างสรรค์งาน นำเสนองาน และผลิตงานโฆษณาที่ดีได้
หากไม่ได้เรียนสาขาโฆษณามาโดยตรง จะเรียนรู้เพิ่มเติมได้มั้ย?
หากเรียนในสาขาใกล้เคียงกันก็ไม่น่ายากเพราะควรเรียนรู้หรือศึกษาในส่วนที่ขาดอยู่ เช่น สาขาการตลาด อาจจะขาดในส่วนของ Artistic คือความมีศิลปะในตัวเอง นิเทศฯ วารสารฯ มีการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มากกว่า แต่หากคนที่เรียนการตลาดมา กลับชอบออกแบบ Lay out งานโฆษณาหรือเขียนข้อความโฆษณาได้ดี อันนี้ก็ถือว่าใช้ได้ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้เป็นเสมือนการเรียนภาษาอังกฤษ ที่วัดกันยาก บางคนชอบดัดสำเนียง ออกแอคเซ่นชัดๆ แต่ฟังแล้วเราก็รู้สึกอายแทนเขา เพราะมันไม่เป๊ะจริง (ประสบการณ์จากประเทศอังกฤษของผม คือผู้ที่อาศัยในต่างประเทศอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป ถึงจะเริ่มเรียนรู้สำเนียงได้ดีมากๆ และเขียนได้ดี) ดังนั้นการเรียนเพิ่มเติม หมายความว่าพื้นฐานต้องมีนะครับ ถึงจะเพิ่มฐานขึ้นไปได้
อย่าลืมว่าทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นของผมคนเดียว ผมอาจจะเขียนเหมือนดูถูกใครเอาไว้ ก็อยากท้าทายไว้เหมือนกัน เพราะหายากนะที่ฝืนแล้วบรรลุได้จริง แต่ถ้าทำได้จริงๆ …ก็ถือว่าเก่งมาก อยากบอกว่าครีเอทีฟดังๆ หลายคนก็ไม่ได้ร่ำเรียนมาโดยตรง แต่จะมีสักกี่คนที่ได้ดิบได้ดีเช่นนั้น ผมกล่าวถึงค่าเฉลี่ยนะครับ
บทที่ 2 จะคุยถึงเรื่องของการทำงานที่ผมพยายามอ้อมๆบอกแล้วว่า “ไม่ง่าย” อุปสรรคต่างๆ และบททดสอบแบบสั้นๆในท้ายบท (กดดูจากลิ้งข้างล่างได้เลยครับ)
อยากทำงานเป็น-creative-1
อยากทำงานเป็น-creative-2
อยากทำงานเป็น-creative-3