เป็นลูกจ้างทำงานบริษัทมาหลายบริษัท สังเกตุว่ามีหลายอย่างที่เหมือนกัน นั่นคือสังคมของคนทำงานในแต่ละแห่ง หลายคนใช้คำเรียกสั้นๆ เป็นภาษาอังกฤษว่า Culture ก็จะไม่ขอพูดอ้อมค้อมกันเลยว่า เมื่อทำงานไปสักพัก “หน้ากาก” อาจจะต้องหามาใส่กัน คนขี้อายก็ต้องใส่หน้ายิ้มเพราะไม่ยิ้มเดี๋ยวเจ้านายไม่ปลื้ม ส่วนคนเข้าเจ้าเข้านายไม่เก่งก็แบบอมสตอเบอรีเข้าไว้เผื่อจะหวานไปถึงท่านๆ แต่วันนี้ขอเน้นหน้ากากที่หลายคนไม่ค่อยกล้าใส่ ทั้งๆที่เอื้อประโยชน์มากมาย นั่นคือ “หน้ายักษ์”
หน้ากากยักษ์ ดีอย่างไร?
ดีสิครับ เพราะเมื่อคุณใส่แล้วจะมีอำนาจมากมายมหาศาลขึ้นมาทันที ถ้าคุณไม่เชื่อ…อย่าลบหลู่ ทดลองจากของจริงได้ ลำดับแรก ลองมองหาพนักงานในบริษัทคนใหนก็ได้ไม่ต้องเอาตำแหน่งใหญ่โต เช่นระดับเลขาฯ ทราฟฟิก หรือพนักงานทั่วไป ผู้หญิง ทำงานมาสัก 5 ปีขึ้นไป ขอแบบหน้าตาดุๆ เสียงดังๆ ชอบใส่อารมณ์ประจำ ลำดับที่สอง หาพนักงานหญิงใหม่ๆ หน่อย หาได้แล้วทีนี้้ก็เข้าทำการทดสอบกัน
“เจ๊จ๋า…ช่วยงานนี้หน่อยได้มั้ย ลูกค้าขอให้ส่งด่วนภายในวันนี้ คนอื่นติดงานหมดเลยจ๊ะ”
คุณจะได้คำตอบมา 2 แนวทาง ถ้าทำให้ได้หรืออาจจะอารมณ์ดี กรณีนี้คุณก็ไม่ได้ทดสอบอะไร แต่ถ้าอามณ์ไม่ดี ก็ได้พิสูจน์กันต่อละ
“คนนะไม่ใช่เครื่องจักร รู้ว่าทำไม่ได้…ไปรับปากเค้าไว้ทำไม”
อ่ะ มียาว …ใจก็คิดว่า หัวหน้าตูสั่งมาว้อย ทำไมมันไม่มาสั่งเองก็รู้ๆ กันอยู่ ใครจะสั่งงานกับยายเนี่ย ทำใจมาจากบ้านไว้เลย
“เจ๊จ๋าาาาาาาา…อ่ะ เอาขนมมาเซ่นไหว้ งานฉันเอาบ่ายนี้นะจ๊ะ อย่าลืมนะจ๊ะ เจ๊จ๋าาาาาา”
เสียงวี๊ดว๊ายของพนักงานฝ่ายติดต่อลูกค้าผู้ยังสับสนกับเพศตัวเอง ดังมาแต่ไกล ถุงผลไม้ดองของไหว้เจ้า วางแหมะที่หัวโต๊ะ ยายเจ๊ หมุนหัวไปหายายคนส่งเสียง สีหน้าเปลี่ยนกระทันหันแบบคนหน้าขาว มุมปากฉีกเกือบเข้ารูหู
“จ้าาาาา…รับปากแล้วก็ต้องได้สิจ๊ะ คนสวยยยย” พูดไป หัวก็หมุนยิ้มไปด้วย พอหมุนมาถึงที่เก่าสีหน้าก็กลับมาเป็นยักษ์อย่างเดิม
“ของเธอมาทีหลัง ตามคิว วันนี้ไม่ได้นะ…งานตรึม ต้องพรุ่งนี้สายๆแหละ” เมื่อกี้เอ็งยังเห็นนั่งแคะขี้เล็บอยู่เลยยายเห็ดกระป๋อง ตอนนี้บอกไม่ว่างซะแล้ว ยายพนักงานใหม่ ก็เลยต้องเรียนรู้ที่จะหาของมาเซ่นไหว้เจ้าที่เจ้าทาง และต้องทำแบบไม่ให้เขารู้สึกผิดเหมือนรับสินบนด้วยนะ ให้เกียรติกันหน่อย
“พี่ขา หนูซื้อมาเยอะเกิน กินไม่หมด เห็นพี่ชอบกินค่ะ” หรือ “พี่ขาหนูไปหาลูกค้ามา เจอของอร่อย นึกถึงพี่ที่ช่วยหนูวันนั้น เลยเอามาขอบคุณค่ะ”
นี่คือข้อดีส่วนหนึ่งของการใส่หน้ากากแบบหน้ายักษ์ ใช้ได้ดีกับพวกข้ามแผนก แม้กระทั่งการข้ามรุ่นข้ามระดับตำแหน่งงาน เช่น พวกหัวหน้าหน่วยงานที่หัวอ่อน สุภาพเกินไป เสียงไม่ค่อยดัง หรือไม่ค่อยกล้าเถียงใคร ยิ่งเถียงคนระดับสูงได้มากเท่าใหร่คะแนนหน้ายักษ์จะยิ่งพรวดพราดยิ่งกว่าแปดร้อยไลค์ในเฟสบุ๊ค เพราะคนจะร่ำลือวีรกรรมของเราไปทั่วบริษัทในพริบตา เคล็ดลับสำคัญของการจะใส่หน้ากากยักษ์ได้ หรือใส่อารมณ์ก่อนทำงานให้ใครแบบไร้สาระได้ ต้องมีแบคอัพดี หรือทำดีไว้หลายปีพอควร ถึงเวลาก็ตักตวงเสียที ถ้าบริษัทยังใจดีหรือไม่มีใครถูกไล่ออกในเรื่องแบบนี้ก็เข้าทางกัน เพราะการติดหน้ากากยักษ์ได้จนติดลมบนแล้ว ถือว่าสบายตัวไปเยอะเลย พอๆกับเป็นผู้บริหารเสียเองเวลาท่านๆไม่อยู่ และต้องเก๋าพอควร ตีบทให้แตกละเอียด เมื่อถึงสถานการณ์คับขันจวนตัวจริงๆ เช่น ทำงานให้ลูกค้าไม่ทันทั้งที่รับปากไปแล้ว มัวแต่แหลอยู่จนลืม หรือทำงานไม่เก่งอยู่แล้ว ดันทำผิดพลาดจนเละคามือ แล้วหาแพะไม่ทัน ให้รีบบีบน้ำตาร้องไห้ตรงนั้นเลย เอาให้ดังหน่อย นึกถึงการทำเพื่อปากท้องลูกผัวที่บ้านเข้าไว้ คนอายุมากร้องไห้มันเรื่องใหญ่ น่าสงสารยิ่งกว่าหมาจรจัดที่ไม่มีอาหารกิน จะเรื่องอะไร ใครถูกใครผิด ถึงตรงนั้นไม่มีคนสนใจเท่าใหร่ เพราะมัวแต่ตกใจสงสารคนแก่ร้องไห้ สักพักก็พากันเอาดอกไม้ เอาขนมมารับขวัญยายหน้ายักษ์กันทั้งบริษัท คู่กรณีก็ได้แต่คิดถึงวันหยุด อยากรีบไปกรวดน้ำทำสังฆทาน
คิดอยู่บ่อยๆว่า ถ้าเราอยากทำงานง่ายกว่าคนอื่น ไม่ต้องเก่งมากก็ได้ ขอแค่ทำงานมานานหน่อย ก็อยากลองใส่หน้ากากยักษ์ดูบ้าง คนอื่นจะได้ไม่เรื่องมากกับเรา บังเอิญเราเป็นพวกตีบทไม่แตกจริงๆ การเป็นลูกน้องที่ดีว่ายากแล้ว ไปที่ใหนก็ต้องเจอยายหน้ายักษ์ไปเสียทุกที่ คนทำงานใหม่ๆ ต้องเตรียมใจเลยนะครับ ผมเห็นร้องไห้กลับบ้านไปฟ้องแม่หลายคนแล้ว บางคนรับมุกในการเป็นทาสสังเวยขนมไม่ทัน
การสวมหน้ายักษ์ได้ เป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยาก อย่างน้อยต้องได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ความจริงแม้ยายคนนี้จะเป็นเพียงพนักงานธรรมดา แต่ในความรู้สึกของหลายคน ยายหน้ายักษ์ทำตัวได้น่าเกรงขามเทียบเท่าระดับบอร์ดผู้บริหารเลยทีเดียว ในความเห็นของผู้เขียนถ้าใจไม่กล้า ไม่ถึงกับต้องสวมหน้ายักษ์ หยิบอันใหนก็ได้ แล้วตีบทให้แหลกละเอียด…ทำได้แค่นี้ ก็รุ่งแล้ว
บางคนเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น “การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม” บางคนเรียกว่า “การทำมาหากินในโลกปัจจุบัน” บางคนเรียกว่า “การใช้ความสามารถทุกรูปแบบเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว” ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร มันคือการสวมหน้ากากเข้าหากันที่หลายคนกล่าวถึงบ่อยๆ ผู้เขียนไม่ใช่คนแรกที่เป็นผู้บัญญัติคำนี้ การสวมหน้ากากในการเข้าสู่สังคมอาจเป็นเรื่องจำเป็น เพราะถ้าทะเลาะกับสามีมา แล้วเก็บอารมณ์ไม่ได้เลยเอาไปลงกับลูกน้อง ก็คงเป็นเรื่องไม่ดีนัก หรือไปพบลูกค้า ถ้าเอานิสัยขี้อายไปอย่างเดียวก็คงไม่รุ่ง อาจต้องพกหน้ากากลิ้นสาลิกาไปด้วย
การกระทำที่ไม่ใช่ตัวเราเอง แต่ต้องพยายามทำให้ได้เพื่อการอยู่รอดในสังคมทุกวันนี้ ดูเหมือนเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ