พูดกันจริง พูดกันจังว่า “ปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริง” ผมได้ยินมาตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว และได้ยินข้อความนี้มาแทบทุกปี ทำให้ผมคิดไปมาแล้วสรุปได้ใจความว่า ถ้าเป็นดั่งคำร่ำลือจริง ก็คงจะมีการเผาหลอก และเผาจริงกันแทบทุกปี
บางคนอ้างสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่คล่องตัว อ้างค่าพีอาร์ อ้างดรรชนีร้อยแปด แท้จริงแล้วธุรกิจของตนเองไม่ดีเหมือนดั่งที่เคยเป็นมาหรือเปล่า? การ maintain position ในตลาด บางคนคิดแค่นั่งดูความเป็นไปแบบเดิมๆทำแบบเดิมๆ ไม่ได้คำนึงถึงคู่ต่อสู้ใหม่ๆตลาดใหม่ๆ ที่กำลังกินเข้ามาใน segment ของตนเอง การต่อสู่ในยุคของความที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ (The Age of Uncertainty) การแข่งขันไม่เคยหยุดอยู่ในที่เก่าๆ พอหลุดออกจากตำแหน่งก็ร้องโอดโอยว่า “เศรษฐกิจไม่ดี” เมื่อเอามาคิดดีๆแล้ว อาจหมายถึงสภาวะของธุรกิจของใครหลายคนที่กำลังตกต่ำ หรือเส้นกราฟกำลังดิ่งลง ไม่มีท่าทีว่าจะ stable ในจุดที่คาดหวังไว้ หรืออย่างน้อยก็จุดคุ้มทุน เพราะจะได้ยื้อเวลาให้มีอายุยาวขึ้นสักหน่อย ด้วยหวังว่าแบรนด์จะแข็งแรงขึ้น คนรู้จักมากขึ้น และยอดการขายน่าจะกระเตื้องขึ้นในระยะยาว ก็ดิ้นรนกันไป แต่ยังทำกันได้ไม่ดีพอ
มุมมองของผม การอ้างเศรษฐกิจไม่ดีแล้วทำให้ธุรกิจเราเสียหาย เทียบได้กับปลูกต้นไม้แล้วรอฝนจากฟากฟ้าตามฤดูกาล เมื่อฝนไม่มา…ก็ตำหนิเทวดาฟ้าดิน ตำหนิไปทั่ว คำถามก็คือว่า คุณเอาชีวิตของคุณ เอาธุรกิจของท่านไปผูกไว้กับคนอื่น หรือสิ่งอื่นที่เราควบคุมไม่ได้หรือเปล่า? การตลาด มีบทบัญญัติไว้ชัดเจนถึงความเสี่ยงใดๆ ก็ตาม หนึ่งในนั้นคือ การเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจ การมัวแต่ด่าทอที่มาที่ไปหรือสาเหตุของเศรษฐกิจที่ไม่ดี สู้เอาเวลาไปค้นหาทางออกกันไม่ดีกว่าหรือ?
Adaptability คือทางออกที่ผมจะแนะนำกันในวันนี้ และดูเหมือนหลายคนจะรู้อยู่แก่ใจ แต่ที่ยังล้มเหลวกันเพราะมีความพยายามที่ไม่มากพอที่จะไปให้ถึง ผู้เขียนขอยกตัวอย่างเรื่องราวชีวิตของโปรเฟสเซอร์คนหนึ่ง อายุ 65 ปี สอนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา เกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตก พูดไม่ได้ เคลื่อนไหวไม่ได้ ร่างกายเป็นอัมพาธไปข้างหนึ่ง หมอวินิจฉัยโดยละเอียดแล้วแจ้งให้ลูกชาย ที่เป็นนักศึกษาแพทย์ทราบว่า สมองได้รับความเสียหายมากเกินไป เกินกว่าจะเยียวยา หรือแก้ไขด้วยวิธีการทางการแพทย์ในยุคนั้นได้ บอกให้ญาติๆทำใจและพากลับไปอยู่ที่บ้าน ถ้าเปรียบกับธุรกิจก็คือม้วนเสื่อกลับบ้าน จบสิ้นทุกอย่าง แต่ลูกชายของเขากลับมีความพยายามเป็นอย่างมาก ที่จะฟื้นฟูบิดาให้หายจากอาการป่วยให้ได้ โดยกระทำในสิ่งที่คนยุคนั้นไม่กล้ากระทำกัน นั่นคือฝืนคำสั่งหมอ…ค้นหาที่มาของปัญหา จนพบว่าสมองบางส่วนได้รับความเสียหาย การฟื้นฟูสมองที่เสียหายให้ดีได้ในยุคนั้นไม่มีใครศึกษาไว้อย่างจริงจัง เขาจึงคิดวิธีการด้วยตนเอง โดยให้พ่อเริ่มต้นทำทุกอย่างใหม่หมดราวกับเป็นทารกที่เพิ่งเกิดใหม่ๆ เริ่มตั้งแต่การจับพ่อลงไปคลานแบบเด็กทารก จากนั้นก็ค่อยๆคลานแบบใช้ศอกและเข่า จนสามารถทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานเขาก็นั่งกินข้าวกับลูกๆได้เอง โดยที่ไม่ต้องมีใครป้อน ไม่กี่เดือนต่อมาเขาก็เดินอย่างช้าๆได้ และภายใน 12 เดือนจากความพยายามอย่างตั้งใจจริงเขาก็เกือบหายเป็นปกติ และสามารถไปสอนที่มหาวิทยาลัยได้อีกครั้ง วงการแพทย์ได้ศึกษาสิ่งใหม่ๆ นี้และพบว่าสมองที่เสียหายได้รับการฟื้นฟูจากสมองส่วนที่ยังดีอยู่ เพื่อเริ่มต้นจดจำและรื้อฟื้นสิ่งที่ถูกทำลายไปได้ เป็นการต่อสู้กับธรรมชาติที่โหดร้าย โดยธรรมชาติที่มนุษย์ได้รับมากันทุกคนอยู่ในตัวอยู่แล้ว
เรื่องนี้สอนผู้เขียนได้เป็นอย่างดีว่า เมื่อเราประสบปัญหา อย่ามัวแต่โทษคนอื่นหรือสิ่งอื่น เพราะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาหรือสร้างความสบายใจใดๆ บางครั้งทางออกของปัญหายากๆที่เราคิดว่าแก้ไขไม่ได้แล้ว มันอยู่ที่ตัวเราหรือเปล่า?…เราไม่ได้มีพยายามที่มากพอ…เราไม่ได้ฟันฝ่าต่อสู้กับมันอย่างจริงจังหรือเปล่า? คนรุ่นใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำงานหนักๆ แบบหามรุ่งหามค่ำ หรือเรียกกันว่า “เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ” ทั้งหลาย มักท้อกับงานยากๆ อยากเจอแต่งานสบายๆ สนุกไปวันๆ สิ้นปีก็หวังโบนัสงามๆทุกปี อาจเป็นผู้บรรญัติศัพท์สวยๆเพื่อสร้างทางออกสวยๆให้กับตนเองว่า “ปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริง” ส่วนคนที่เจริญรุ่งเรืองในธุรกิจส่วนใหญ่ คือ คนที่ก้มหน้าสู้ชีวิต …ล้มแล้วหาทางลุกจนได้ และไม่เคยโทษใคร…