ทำไมบางคนถึงยอมรับการ comments ไม่ได้? พอถูกวิพากษ์วิจารณ์แล้วมักจะของขึ้น ทั้งที่อาจจะได้รับแนะนำด้วยเจตนาที่ดี เมื่อถูกวิจารณ์แล้วไม่ถูกใจ สิ่งที่ตามมาคือการแสดงเหตุผลที่มักที่จะมุ่งหวังเอาชนะเสียเป็นส่วนใหญ่ ผู้เขียนกล้ายอมรับแบบหน้าชื่นตาบานเลยว่าเคยเป็นผู้หนึ่งที่เคยมีจุดเดือดต่ำในเรื่องนี้ แต่เมื่อได้ไปศึกษายังต่างประเทศ เห็นคนต่างชาติถกเถียงกันอย่างกับจะฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็จบกันด้วยดี วันรุ่งขึ้นก็ยิ้มให้กัน จับมือกันหรือถกเถียงกันใหม่อย่างปัญญาชน แม้จะยังมองคนละมุม คิดคนละด้าน เขาก็ยังให้เกียรติกัน ในแง่ของการใช้ภาษา เหตุผลในมุมมองของตนเอง ไม่มีแขวะกัด ไม่ใช้เล่เพทุบาย หรือหาพวกพ้องคนสนิท มาหลับตาชูธงสนุบสนุนเพื่อเอาชนะคนอื่นให้ได้แบบบ้านเรา ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตุตามมุมมองของตัวเอง ดังนี้นะครับ
- ความเป็นคนไทย ที่บางครั้งยังติดกับการรักษาหน้าตามากเกินไป ตามธรรมเนียมที่ปลูกฝังกันมา ใครจะมาลูบคม ลบเหลี่ยมไม่ได้ การถูกวิพากษ์วิจารณ์เสมือนกับการถูกชี้ข้อด้อย ถูกลบหลู่ดูถูก ความไม่พอใจจึงตามมา
- ประสบการณ์ในเรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์มีน้อย เช่น ผู้เขียนเคยมีอาชีพเป็นนักคิด “ครีเอทีฟ” ในบริษัทโฆษณามาหลายสิบปี ตั้งแต่ทำงานวันแรกจนถึงวันนี้ สิ่งที่เหนื่อยที่สุดและเจอทุกวันคือ “การถูกวิจารณ์งานที่นำไปเสนอ” บางครั้งถูกขอให้ปรับปรุงใหม่ ด้วยข้ออ้างต่างๆนานา ซึ่งถ้าเป็นเหตุผลที่ดีและเราได้บทเรียนใหม่ๆ เราก็แทบจะกราบคนที่ให้ข้อคิด แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเองคนเดียว ไม่สนใจผู้บริโภคว่าจะชอบแบบใหนหรือจะรับได้หรือไม่ เอาตัวเองเป็นที่ตั้งเนื่องจากมีอำนาจเต็มที่อยู่แล้ว อันนี้ผู้เขียน “จะต้องทำใจ” ให้หนักแน่นอย่างที่สุด เจ้าของบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง เคยสอนผมว่า “เพื่อให้ขายงาน ขายไอเดียได้ ต้องรู้จัก Compromise… ลูกค้าอยากได้สตรอเบอร์รี่ก็หาสตนอเบอร์รี่ให้เขา ถ้าเขาอยากได้ก้อนขี้หมาก็หาให้เขาแบบที่เขาต้องการ….” ซึ่งผมไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ บ่อยครั้งที่ต้องทำงานใหม่หลายๆครั้ง เหนื่อยมากขึ้นอีก เพื่อผสมผสานไอเดียลูกค้ากับเราเข้าด้วยกัน คนครีเอทีฟกล่าวถึงสิ่งนี้ว่า “จาก concept แข็งๆ กลายเป็นวุ้น” เพราะ Single minded ถูกลดทอนลงไป
แล้วจะทำอย่างไร?
ถ้าคุณกำลังมองหาคำตอบของคำถามนี้ ผู้เขียนมีทัศนะของตัวเองมาแชร์นะครับ ผมก็ไม่ได้เก่งนักนะครับเพราะบางครั้งก็ทำได้ไม่ดีนัก ถ้าเจอคนที่พูดไม่มีเหตุผลหรือต้องการเอาชนะอย่างเดียว แต่ได้ยินได้ฟังเขามา ครูพักลักจำมาเล่าสู่กันฟังครับ
- เปิดใจกว้าง (Open mind) ก่อนอื่นผู้เขียนจะต้องทำใจก่อนนะครับ เหมือนทำสมาธิเลยคือ ใครจะพูดอะไร ก็คิดเสียว่าเข้าหูซ้ายไปหูขวา ไม่ใช่ผ่านไปเฉยๆแบบไม่รับฟัง แต่พยายามเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆไว้ ซึ่งหลายท่านอาจจะเคยได้รับการแนะนำว่า “ให้นำสิ่งที่ดีมาปรับใช้ อย่านำสิ่งที่ไม่ดีติดมาด้วย” นั่นเอง ผู้รู้จริงต้องไม่ยกย่องตนเองข่มคนอื่น เพราะอาจมีผู้รู้ที่รู้มากกว่าอีกมากมายในโลกใบนี้ การถกเถียงที่ได้ประโยชน์คือการให้เกียรติกันเสมอ เมื่อเขาวิจารณ์เราแล้ว ให้เราแสดงความชื่นชมตามธรรมเนียมของการสนทนา เช่น กล่าวขอบคุณ แล้วแสดงความเห็นที่อาจจะแตกต่างทิ้งไว้ให้เขาคิดได้เอง ไม่ใช่พยายามพูดจาข่มคนอื่นในสิ่งที่ตนเองคิดว่าชาญฉลาดกว่าและอยากเห็นผลชนะในทันที จากประสบการณ์อันโชกโชนในการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้เขียน ไม่ว่าจะโดนคำพูดคมๆ กรีดกลางใจ หรือราวกับโดนฆ้อนทุบลงบนหัวแบบอึ้ง ทึ่ง ไปหมด …สุดท้ายของการถกเถียงมักจะหาคนชนะไม่ได้เสมอ จะเหลือแค่คนสองข้างที่ยังค้างคาใจกัน ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อง่ายๆ แบบไก่กับไข่ หรือยากแค่ใหนก็ตาม ไม่ว่าจะคนระดับเดียวกันหรือสูงส่งแค่ใหนก็ตาม เมื่อรู้ผลสรุปอย่างนี้ หากมีการถกเถียงกันแบบขัดแย้งอย่างชัดเจน ผู้เขียนจะไม่พยายามไปถึงจุดสิ้นสุดเสมอ “การวิพากษ์วิจารณ์ที่ได้ผลดีทั้งสองฝ่าย จะเกิดขึ้นกับผู้ที่เปิดใจกว้าง กล้ายอมรับฟังความเห็นคนอื่นเท่านั้น”
- การทดลองฝึกซ้อมหรือลองปฏิบัติ (Rehearsal) เมื่อผ่านขั้นตอนแรกได้แล้ว นั่นคือเปิดใจกว้างที่จะกล้ารับฟังเความเห็นของคนอื่นๆ ได้แล้ว สิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าควรทำอย่างยิ่งคือการทดลองทำจริงๆ ซึ่งอาจจะฝึกซ้อมกับลูกๆหลานๆ ที่บ้านไปด้วยก็ได้ เขาจะได้เรียนรู้ซึมซับสิ่งเหล่านี้ไปด้วย โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แต่ละกลุ่มให้หาเหตุผลที่ดีกว่ามาแสดง คล้ายๆกับโต้วาที แต่สามารถยกมือแสดงความเห็นคัดค้านได้ทันทีแบบสั้นๆ เริ่มจากการตั้งหัวข้อง่ายๆ เช่น บ้านของเรากับบ้านของคุณปู่ ฟุตบอลกับเทนนิส ส้มตำกับก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ อาจจะมีผู้ใหญ่คุมลูกทีมอยู่ข้างละหนึ่งคน คอยชี้นำแนวทางความคิดที่เหมาะสมและตักเตือนการแสดงคำพูดหรืออารมณ์ที่ไม่เหมาะสม พร้อมกับสอนอธิบายไปด้วย
ผู้เขียนเชื่อว่า แม้กระทั่งความรู้บางอย่างในหลักสูตรป.4 บางหัวข้อบางวิชา คนเก่งๆ ที่จบปริญญาตรีหรือโท อาจจะยังหลงลืมหรือไม่รู้มาก่อนเลยก็ได้ ผู้เขียนคิดว่าการเปิดใจกว้างคือการเปิดโลกกว้างให้กับตนเอง เพื่อเรียนรู้ได้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด…ดั่งคติที่ว่า “ไม่มีใครแก่เกินเรียน”