“Life is unfair” พักนี้ได้ยินคำนี้บ่อยขึ้น… ในชีวิตของผม จำได้ว่ามีเหตุการณ์ 2-3 ครั้งที่เกิดขึ้นแล้วโทษกันว่าเป็นเรื่อง Life is unfair
ผมยังจำได้ดี เมื่อครั้งทำงานในบริษัทเอเจนซี่โฆษณาแห่งหนึ่ง ตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็น Creative Director ก็มีลูกท่านหลานเธอคนหนึ่ง เพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆ ได้รับการฝากฝังให้เข้ามาทดลลองงานในกลุ่ม (ทราบภายหลังว่าเธอเป็น ลูกสาวลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทฯ) ทำงานจะครบสามเดือนตามวาระทดลองงาน เธอก็เดินมาถามผมที่ห้องทำงานว่าจะให้ผ่านโพรเบชั่นหรือไม่? เราก็บอกว่าให้คำตอบไม่ได้ เพราะต้องรายงานไปยังหัวหน้าเราอีกที และที่สำคัญ ทุกคนที่ทำงานด้วยระบุชัดว่า “เธอไม่ผ่านการทดลองงาน” บอกว่าทำงานไม่เป็น คิดคอนเซ็ปไม่ได้ แถมวันๆได้แต่สนุกสนานไปเม้ามอยกับคนในบริษัทมากกว่าทำงานจริงๆ
“ลองไม่ให้ผ่านโปรฯ ดูสิ ….จะได้รู้ว่า ใครจะเดือดร้อน” เธอยืนยันเสียงแข็ง ในห้องทำงานของผมแบบสองต่อสอง แต่หลังจากนั้น ผมก็ยื่นตามความจริงว่า “ไม่ผ่านการทดลองงาน”
เดือนต่อมา…เธอถูกบรรจุเข้าทำงานเป็นพนักงานประจำในอีกแผนก …ทั้งที่ทำงานคนละอย่างกันเลย เออ เอากับเธอสิ….ตั้งแต่นั้นมา เธอก็ตามราวีผมแบบกัดไม่ปล่อย หาเหตุดราม่ากับผมได้แทบทุกวัน หลายคนเห็นผมต้องทนใจเย็นกับเธอผู้มีใจพยาบาทอยู่ได้ทุกวัน ก็เข้ามาแสดงความเห็นใจบ่อยๆ
“Life is unfair,my friend” หัวหน้าชาวต่างชาติผู้หนึ่งกล่าวกับผมไว้…ผมยังจำคำนี้ได้จนถึงวันนี้!
ช่วงเย็นวันหนึ่งผมขับรถไปบนทางด่วนบางนาตราด ขับอยู่ดีๆ คันข้างหน้าก็เบรคกระทันหัน ผมก็เบรคจนตัวโก่งแต่ไม่พ้นระยะเบรค รถของผมจึงอัดเข้ากับคันข้างหน้าอย่างแรง และก็รถคันอื่นมาชนท้ายรถผมและคันต่อๆไปรวมทั้งหมด 4 คัน ของผมอยู่คันที่สอง…ไปถึงสถานีตำรวจก็ได้รับการแจ้งคร่าวๆจากผู้ประสบเหตุด้วยกันว่า คันสุดท้ายจะต้องจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดตามกฏหมาย…ก็ซวยกันไป เรื่องที่จะเล่าไม่ได้อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่คันที่สามที่มาชนรถผมนะครับ เจ้าของรถเป็นผู้หญิงกลางคน มีอาการเจ็บต้นคอเล็กน้อยจึงได้แต่จับต้นคอนวดไปมา และก็มีผู้หญิงแต่งตัวดีหนึ่งเดินขึ้นมาบนสถานีตำรวจอย่างเร่งรีบ เข้าไปถามไถ่อาการของเธออย่างตกอกตกใจเสียงดังลั่น ผมดูแล้วเข้าใจว่าน่าจะเป็นญาติกัน หลังจากที่ถามไถ่เสร็จ เธอก็มองรอบๆ แล้วมาหยุดสายตาที่ผม ที่กำลังนั่งอยู่คนเดียวหน้าโต๊ะร้อยเวร เธอเริ่มพูดเสียงดังแถมยังมองหน้าผมไปด้วยตลอดเวลา ผมก็ได้แต่สงสัยว่าเธออยากจะพูดอะไรกับผมหรือเปล่า ก็เลยหันไปจ้องเธอ เธอพูดเฉยไม่เท่าใหร่ แต่ชี้นิ้วมาที่ผมด้วย
“ขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือ คนอื่นเดือดร้อน…เห็นมั้ยนี่ รับผิดชอบได้มั้ย?” อ้าว สงสัยจะโดนซะแล้ว เข้าใจเธอละ ผมนึกในใจว่า …ป้าๆ ผมไม่ได้ชนรถญาติป้านะ ผมอยู่คันที่สอง ญาติป้าน่ะคันที่สาม ชนรถผมด้วยซ้ำ
“บาดเจ็บไปแล้วจะแก้ไขยังไง เกิดกระดูกคอเคลื่อนจะทำยังไง…ขับรถแบบนี้ อย่าขับซะดีกว่ามั้ย?” เธอยังไม่ยอมหยุด แถมพูดราวกับจะกินเลือดกินเนื้อผมให้ได้ ยายป้าคนขับที่นั่งคอเคล็ดอยู่ ก็ยังงงๆว่าญาติพูดอะไร? หรือพูดกับใคร? เพราะนั่งข้างหลังคนที่พูด เลยไม่เห็นสายตาว่ากำลังพูดกับใคร ผมก็กำลังให้การกับร้อยเวรอยู่อยู่…เธอเล่นด่ากราดแบบไม่สนร้อยเวรกันเลยทีเดียว ไม่รู้ด้วยว่าจะถูกตัวหรือไม่? เท่านั้นยังไม่พอ เธอหยิบโทรศัพท์มาโทร คุยอยู่นานสองนาน ก็จับใจความได้ว่าโทรหาผู้กำกับคนหนึ่ง เข้าใจว่าน่าจะเป็นญาติพี่น้องหรือใกล้ชิดกันอีกคน
“เออ สั่งให้ใครมาดูมันหน่อยสิ เนี่ย…อยู่สถานีคลองเตย…เอ่อ มันยังนั่งทำหน้าอินโนเซ้นท์กับร้อยเวรเนี่ย” เท่านั้นแหละ…ผมก็มั่นใจเลยว่า “มันเล่นกูแล้ว เล่นผิดตัวซะด้วย” ยอมรับว่าเป็นการอธิบายที่ผมต้องทำใจให้เย็นมากที่สุดในชีวิต…
…ใครผิดไม่รู้ พวกข้าต้องไม่ผิด เพราะพวกข้าใหญ่…เฮอะๆ
นาทีนั้นจำได้ว่า ประโยคหนึ่งวิ่งเข้ามาในหัว “Life is unfair”
ทุกวันนี้ผมต้องขับรถไปรับลูกที่โรงเรียนตอนเลิกเรียนทุกวัน ซึ่งต้องขับรถผ่านสามแยกแห่งหนึ่งที่บังคับให้เลี้ยวซ้ายได้เพียงเลนเดียว แต่คนขับรถส่วนใหญ่ก็เร่งรีบกันมาก จนถึงกับแซงซ้ายไปบนไหล่ทาง แล้วไปหักคอเอากับคอคอดของแถวที่เขาอุตสาห์ทนเข้าแถวกันมาจนเนิ่นนาน…ตลอดชีวิตของผมไม่เคยทำอย่างนั้นเลย แม้จะนึกเคืองในใจแต่ก็ต้องยอมให้ปาดทุกวัน เนื่องจากคันที่ปาดทำหวาดเสียวหักหัวเข้ามาแบบกระชั้นชิดจนคนที่กลัวอุบัติเหตุต้องยอมเปิดทางให้
ผมเคยประจันหน้ากันกับรถคันหนึ่งแบบใกล้ชิด…ทั้งๆ ที่รถของผมวิ่งเลยจุดสลับคันเพื่อวิ่งเดี่ยวไปแล้ว แต่มีรถคันหนึ่งพุ่งมาทางด้านซ้ายด้วยความรวดเร็ว จนผมต้องเบรคสุดตัว เขาก็ค่อยๆเบียดจนเอาหัวรถมาเสมอกันจนได้ แต่ปัญหาคือเขาไปต่อไม่ได้ เนื่องจากกระจกส่องหลังของเขามาจ่อติดกระจกส่องหลังของผม …ถ้าไปต่อคือต้องชนกระจกส่องหลังของผมหักแน่ๆ เขาเลยหยุดรถ…เปิดกระจก มองหน้าผมแล้วตะโกนว่า
“ไปสิ!”
อ้าว…มึงมาเบียดกู พอมึงไปไม่ได้ แล้วมาตะโกนด่ากูเนี่ยนะ …ขออนุญาตใช้ภาษาพ่อขุนรามฯเพื่อให้เกิดความเข้าใจในอารมณ์ตอนนั้นนะครับ
“ไอ้หอย พ่อมึงสอนมาให้ใช้ชีวิตเอาเปรียบคนอื่นแบบนี้เหรอ” ผมนึกด่าในใจ
“เอาไง! อยากมีเรี่องหรือไง ไปสิ ไป๊!” นั่นแน่ มันตะโกนท้าทายมาเลย
เจออย่างนี้ ผมก็ของขึ้นสิครับ ทำท่าผายมือเชื้อเชิญบอกให้ท่าน “ไปสิ” ผมส่งเสียง
มึงไปได้ มึงไปเลย เบียดซ้ายรถคนอื่นไม่พอ แถมยังเปิดกระจกรถว่าเขาอีก กับคนพวกนี้ผมยืนปักหลักสู้ไม่ถอยอยู่แล้ว ผมถึงเข้าใจเลยว่าทำไมคนถึงฆ่ากันตายได้แม้เพียงขับรถปาดหน้ากัน…ก็มันแสดงนิสัยแย่ๆในการขับรถแบบนี้ไม่พอ แถมยังใช้วาทะโวหารแบบนี้
พอถึงบ้าน ก็โทรไประบายกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง …เพื่อนบอกว่า “ใจเย็นๆ คนพวกนี้ต่อให้ผิดมันก็ไม่เคยรับผิด…ชีวิตมันเกิดมาเพื่อเป็นแบบนี้ Life is unfair…ยอมรับมันเสียเถอะเพื่อน!” อ้าวมาอีกคนแล้ว
Life is unfair…สำหรับผมนะ สมมุติว่าฟ้าฝนไม่เป็นใจ ไร่นาล่มสลาย หรือเคราะห์หามยามร้าย ภัยภิบัติมาบังเกิด เศรษฐกิจล่มสลาย ก็ยังจะพอทำใจได้ว่า…”ซวยจริงๆ” นั่นแหละคือ Life is unfair แต่คนที่ชอบอ้างคำพูดนี้เพื่อเอาเปรียบคนอื่นด้วยนิสัยแย่ๆ แล้วพยายามสร้างความถูกต้อง สร้างความมั่งคั่งสมบูรณ์ของตนเองในโลกใบสีเทาๆนี้… ก็ลองคิดดูนะครับ ว่าถูกต้องหรือไม่?
(ปล.เป็นเพียงหนึ่งคำถามยาวๆ นะครับ ไม่ได้ฟันธงอะไรหรือกล่าวหาผู้ใด….ขอบคุณที่ติดตามผลงานครับ)