วันนี้ดูหนังซี่รี่ “Suits” ตอนล่าสุด ที่ชายหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งรับงานสอนหนังสือให้กับโรงเรียนที่มีนักเรียนดื้อดึง เกเรเอาเรื่องเลยทีเดียว สอนวันแรก ก็เล่นกันไม่สนใจครู ครูหนุ่มถึงกับท้อ นึกอยากจะเลิกสอนกันเลยทีเดียว โรงเรียนนั้นเป็นโรงเรียนในวัด มีหลวงพ่อดูแลอยู่ ผมจำคำพูดของชายหนุ่มกับหลวงพ่อได้บางตอน
ชายหนุ่ม “ผมต้องการช่วยคน ที่ต้องการความข่วยเหลือ ไม่ใช่ทำให้แล้ว ยังปฏิเสธต่อต้านแบบนี้”
หลวงพ่อ “คุณจะทิ้งเขาไปก็ได้นะ …ไม่ต้องสอนอีกต่อไป ผมเข้าใจ…ว่าพวกเขาดื้อแค่ใหน แต่เขาไม่รู้ตัวหรอกว่า เขาต้องการครูดีๆมากแค่ใหน…”
ผู้เขียนเคยเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยหลายสถาบัน ดูถึงตรงนี้ก็ถึงกับอึ้ง…..เพราะช่างตรงกับสิ่งที่เคยประสพมามากๆ บังเอิญว่า ผู้เขียนเคยเจอแต่นักศึกษาที่ไม่ค่อยสนใจเรียน และอาจจะมีนักศึกษาที่สนใจเรียน แต่กลับมีการพัฒนาการที่ค่อนข้างช้า
กลุ่มแรก…ผู้เขียนต้องทำใจเลย เพราะเราสอนให้แล้ว แต่ไม่รับเอง ก็ได้แต่สงสารพ่อแม่เขา
กลุ่มที่สอง..คือกลุ่มที่ผู้เขียนให้ความสนใจอย่างมาก เพราะเขายังสนใจเรียน เพียงแต่อาจจะมีพื้นฐานความรู้หรือประสบการณ์ที่ยังไม่ดีพอ ทำให้มีการจัดระบบระเบียบของชีวิตที่ยังไม่ดีพอ ทุ่มเทให้เวลาในการศึกษาน้อย สนใจแต่เรื่องสังคมรอบตัวมากกว่า ทำให้ขาดความมุ่งมั่นที่มากพอ ผู้เขียน…เคยมีครูดีๆ หัวหน้าดีๆ ที่พร่ำสอนว่า “…ความล้มเหลว มาจากการล้มเลิกความตั้งใจ” นักศึกษาเหล่านี้ บางครั้งต้องการครูดีๆ ที่พร้อมทุ่มเทให้เขา ดึงความสนใจเขาให้กลับมามุ่งในเรื่องเรียนมากขึ้น ช่วยตั้งเป้าหมายชีวิตเพื่อมุ่งหาคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าให้ได้
“จารย์…หนูไม่ได้ทำการบ้านมา หนูติดธุระที่บ้าน หนูทำรายงานส่งแทนการบ้านได้มั้ยคะ?”
“จารย์ครับ…สัปดาห์หน้าผมขอลานะครับ ที่บ้านไปต่างจังหวัด”
“จารย์ขา…คืนนี้มีปาร์ตี้วันเกิดหนู เชิญจารย์ไปด้วยนะคะ ที่ผับชื่อ…”
“จารย์ขาาาาาา…หนูไม่เข้าใจเรื่องที่จารย์สอนวันนี้ จารย์ช่วยสอนหนูหลังเลิกเรียนได้มั้ยคะ?”
ทุกวันนี้การร่ำเรียนหนังสือของคนบางกลุ่ม
ต้องการเพียงแค่ “ทำคะแนน” ให้ได้มากที่สุด โดยอาจไม่คิดถึงที่มาที่ไป ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ตนเองจะได้รับ แม้จะไม่ต้องเข้าเรียนเลยสักคาบ หากจบวิชานั้นๆได้ ก็ยิ่งดี หลายคนบอกว่าสิ่งที่อยู่ในตำรา จบไปก็ไม่ได้ใช้หรอก…เรียนจบ ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จแล้ว ก็อยากบอกว่า “ไม่จริง” การเรียนรู้ทุกอย่าง ต้องการความมุ่งมั่นในตัวตนของคนๆนั้น “วิชา” นั้นๆ เป็นเพียงสิ่งที่อุปโลกขึ้นมาเพื่อนำไปฝึกคน เพียงแต่ว่าหากบังเอิญต้องเอาไปใช้ในชีวิตได้ ก็จะดียิ่งขึ้น หลายคนเป็นคนที่ “จับจด” แม้จะมีความรู้ดี แต่เหยียบอุจจาระไก่ไม่ฝ่อ ทำงานแบบรีบๆให้เสร็จ ความอดทนต่ำ อยากก้าวหน้ารวดเร็วกว่าใคร บุคลิกเหล่านี้เริ่มเห็นมากขึ้นกับชนรุ่นใหม่ เพราะการปลูกฝังที่ไม่มั่นคงมากพอ บางคนเลี้ยงดูแบบรักมากไป บางคนปล่อยปละละเลยอ้างเรื่องงานการ ทั้งหมดนำมาซึ่งการเรียนรู้ที่ไม่หนักมากพอ เด็กบางคนเห็นงานหนักก็ออกแนวศรีธนนชัย…การเอาเปรียบคนอื่นได้คือความชาญฉลาด พ่อแม่กลับปลื้ม…ผมเห็นกับตามาหลายครั้งแล้ว บอกว่า “แบบนี้เอาตัวรอดในสังคมได้แล้ว”
….????…
ชีวิตคนเราทุกวันนี้ จะมีสักกี่คนที่ “รู้ตัว”
รู้ว่า กำลังอยู่ตรงใหน?…กำลังจะก้าวไปสู่ที่ใหน?
เพราะผมเห็นหลายคนที่กำลังหาทางสนุกกับชีวิต ไม่สนใจ 5-10 ปีข้างหน้า ว่าชีวิตตนเองจะดีขึ้น เท่าเดิม หรือแย่ลง…
“ชีวิตฉัน…อย่ามาเสือก ฉันเลือกเอง ผิดพลาดมาฉันรับผิดชอบเอง”
ฟังแล้วก็เป็นข้ออ้างที่น่าฟัง และสมเหตุสมผลมาก เพราะเราไม่รู้จะไปเสือกกับชีวิตคนอื่นให้ตัวเราเองต้องวุ่นวายทำไม ผู้เขียนเชื่อว่า…หลายคนก็คงประสบเรื่องแบบนี้ที่วนเวียนรอบๆตัวไม่ไปใหน ผิดพลาดมา…ก็โทษฟ้าโทษฝน โทษฟ้าดิน…ไม่เป็นใจ หาทางไปทำบุญ สะเดาะเคราะห์กันวุ่นวาย ทั้งๆที่ เรื่องแบบนี้แก้ไขกันได้ที่ต้นเหตุ
เพราะทั้งหมดข้างบนที่ผู้เขียนเล่ามานั่นแหละ “ปลูกสิ่งใด ก็ได้สิ่งนั้น”…บิดาผู้เขียนพร่ำสอน
ถามว่าจะแก้ไขกันได้หรือไม่? คำตอบของผู้เขียนคือ“ไม่มีผู้ใดแก่เกินเรียน” แม้ผู้เขียนจะมีอายุมากแล้ว ก็ยังรู้สึกว่ากำลังเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่ทุกวัน สำคัญว่ามีจิตใจที่จะแก้ไขกันอย่างจริงใจหรือไม่…หากแค่ต้องการลูบหน้าปะจมูก สร้างภาพสวยๆให้ตนเอง ก็ต้องยอมรับว่า อาม่า…ที่อยู่หลังหน้ากากสวยงามนั้น วันหนึ่งจะแก่ตัวลงจนตัวเองก็ยังรับไม่ได้
วันนั้น…
หากการยอมรับความจริงยังไม่บังเกิด การแก้ปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้นด้วย
หากยังไม่กลัวโลงที่จะเห็นในวันใดก็ตามแม้ในอนาคตอันใกล้ (ไม่มีใครรู้ได้) ก็เตรียมรอวันที่ต้องเจ็บปวด จาก ” ชีวิตที่เลือกเอง” อย่างแน่นอน
ผู้เขียนหวังว่า บทความนี้จะเป็นอุทธาหรณ์ให้ผู้ใดก็ตามที่ยังหลงอยู่ในโลกของตนเอง
หวังว่าจะได้มุมมองใหม่ๆ แนวคิดใหม่ๆ หรือกำลังใจใหม่ๆ เพื่อมองเห็นแสงสว่างของชีวิต
…เป็นเพียงหนึ่งความเห็นนะครับ…