“ในเมื่อไม่รวย จะดันทุรังไปเรียนนอกเลียนแบบคนรวยทำไม”
ถ้าบอกว่าการไปเรียนเมืองนอกจำกัดไว้เฉพาะคนรวยหรืออย่างน้อยควรจะมีฐานะ มีทรัพย์สินมากพอจริงๆ ผมขอค้านแบบหัวชนฝาว่าไม่จริง การเรียนรู้คือการฝักใฝ่ ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อยกระดับความคิด เพื่อหาประสบการณ์ ไม่ใช่เป็นการไปซื้อหาความรู้ประดับตนเองหรือครอบครัว ขอยกตัวอย่างเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์ยังทิ้งลาภยศสรรเสริญ เพื่อไปแสวงหาความรู้ และผมถามนิดเดียวว่า “ทำไมเขาอนุญาตินักเรียน Full Time ให้ทำงานได้?” ถ้าคิดว่านักเรียนไม่ควรทำงานหรือควรมีฐานะดีอย่างที่ว่าจริง ผมเชื่อว่านี่คือสิ่งดีๆ ที่หลายคนพยายามมองข้าม และเป็นมุมมองแคบๆ ของสังคมผู้ดีแบบไทยๆ ที่ไม่อยากให้ลูกหลานต้องลำบาก หรือกลัวไปเกลือกกลั้วกับชุมชนที่อยู่ในระดับล่างๆ กว่าตนเอง เชื่อมั้ยว่าลูกคนรวยบางคนถูกขอร้องแกมบังคับให้ทำงานเพื่อหาเงินซื้อของใช้ส่วนตัวเอง เป็นการฝึกความรับผิดชอบที่ทำได้ยากตอนอยู่เมืองไทย เพราะหากพ่อแม่ไม่ซื้อสิ่งใดให้ ก็ยังมี ปู่ย่า ตายาย ญาติพี่น้องอีกมากมายที่จะคอยเอาใจหลานรักอยู่ตลอดเวลา อีกอย่างการทำงานที่นั่นไม่ได้หมายถึงร้านอาหารไทยอย่างเดียว ร้าน Fastfood ดังๆระดับโลกแทบทุกแห่ง ก็รับสมัครนักเรียนเข้าทำงาน Part-Time ด้วยเหมือนกัน (ส่วนใหญ่สมัครผ่าน Student Union) จึงกลายเป็นการเรียนภาษาอังกฤษอีกอย่างที่ได้ผลมากขึ้น เพราะได้ฝึกใช้กับผู้คนทั่วไปในทุกๆวัน
ในกรณีของผู้เขียน แม้ฐานะจะแค่ปานกลางเพราะบิดารับราชการเงินเดือนไม่มาก แต่การได้ศึกษาต่อในต่างประเทศเป็นเรื่องของดวงชะตาจริงๆ เพราะเกิดขึ้นตอนทำงานไปประมาณ 4-5 ปีแล้ว เก็บเงินได้ส่วนหนึ่ง ตอนแรกคิดจะลาพักงานเพื่อไปท่องเที่ยวและเรียนภาษาอังกฤษไปด้วย พ่อแม่ก็อยากให้ไปดูน้องสาวที่เลือกไปอังกฤษและไปได้พักใหญ่แล้ว พอน้องสาวทราบ เลยแนะนำให้สมัครต่อโทไปเลยเพราะมีหลักสูตรปีครึ่ง ผู้เขียนไปเรียนหลักสูตรเร่งรัดที่ British Council ที่กรุงเทพฯ เป็นเวลา 3 เดือน แล้วสอบ IELTS และได้รับจดหมายจากทางมหาวิทยาลัย จึงทำให้การไปศึกษาต่อกลายเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมา เมื่อคำนวนค่าใช้จ่ายจริงๆจังๆ แล้ว ก็พอมองเห็นลู่ทาง ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในหัวข้อ ต่อโทอังกฤษแพงกว่าอเมริกา…จริงหรือ
“เรียนจบนอกกลับมา ก็ต้องมานับหนึ่งใหม่อีกแหละ”
ก็มีส่วนถูกนะครับ เพราะเดี๋ยวนี้คนจบปริญญาโทในเมืองหลวงแทบจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่แทนปริญญาตรีไปเสียแล้ว อีกอย่างถ้าขาดประสบการณ์การทำงานก็จะกลายเป็นข้อด้อยทันทีเมื่อเทียบกับคนที่ทำงานแล้ว แต่หากท่านดูในรายละเอียดจริงๆ อาจพบว่ามีรุ่นพี่ปริญญาตรีมากมายไม่พยายามเรียนรู้และกำลังรอวันถูกแซงและถูกแขวน รวมทั้งการคิดจะย้ายไปทำงานใหนก็ลำบากขึ้น เพราะการทำงานแทบทุกอย่างในทุกวันนี้ พึ่งพาความคิดใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ ทันต่อยุคสมัยมากขึ้นเรื่อยๆ คนเก่าๆ ที่กลัวการเปลี่ยนแปลง มักจะกลัวและทำงานประเภทนี้ไม่เก่ง สั่งงานเป็นอย่างเดียว พอผิดพลาดก็บ่ายเบี่ยงและหาทางโยนความผิดให้คนอื่น เป็นการต่อสู้แบบเดิมๆ เพื่อเลี้ยงปากท้อง ไม่มีการพัฒนาตนเองมากพอ บางคนคิดว่าแค่มี facebook ในโทรศัพท์มือถือก็คิดว่าทันยุคแล้ว ถ้าใช้งานแค่แชร์ภาพในชีวิตประจำวันกับแชทสนุกไปวันๆ ไม่สามารถนำสิ่งดีๆ ของโปรแกรมไปใช้ร่วมกับงานในชีวิตประจำวันได้ ก็แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย กลับจะเกิดอาการที่เรียกว่าติด facebook ติดการแชท เหมือนเด็กติดเกมส์ออนไลน์ ดึงเวลาที่สำคัญของชีวิตส่วนอื่นให้สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ คนเรียนจบนอกได้ภาษาฯ ได้ความกล้า ความมั่นใจ เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แยกแยะสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น ทั้งนี้อาจจะเกิดจากการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้มุมมองใหม่ๆ จากการใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนต่างชาติ ที่ไม่เคยได้ยินจากเพื่อนคนไทยด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น ทำไมถึงกล้าออกจากบ้านไปหางานทำเอง เช่าบ้านเอง เลี้ยงดูปากท้องตัวเอง แทนที่จะอยู่สบายๆ เกาะพ่อแม่กินเหมือนคนไทย ถ้าอยากรู้เรื่องนี้ ท่านต้องไปเรียนเองและไปฟังเขาพูดจากปากเอง แล้วจะเรียนรู้ได้ตนเอง ผมได้ยินแล้วอึ้ง อายตัวเองเลยครับ…เรื่องแบบนี้บอกเล่ากันไม่ได้ครับ
“ทำไมต้องเป็นอังกฤษ”
ผมยังยืนยันว่า ไม่เคยบอกว่าไปเรียนที่ประเทศอังกฤษดีที่สุดนะครับ ผมเล่าตามประสบการณ์ในส่วนของผมว่าดีอย่างไร ส่วนใครจะไปเรียนที่ใหนก็เลือกกันเอาเองครับ ถ้าจะไปอังกฤษก็อ่านเล่นๆ ขำๆ กับบทความของผมไปก็ได้ครับ
“ถ้าจะเรียนภาษาอังกฤษ ควรเรียนที่ลอนดอน”
“อ้าววันก่อนบอกว่า เรียนลอนดอนแพงไงเพ่”…ก็ต้องแจงรายละเอียดอีกนิดว่า อันนั้นเป็นระดับปริญญาโทนะครับ ส่วนในระดับภาษาอังกฤษถ้าไปต่างจังหวัดถูกกว่าเยอะแน่ แต่ใหนๆก็ไปถึงที่โน่นแล้ว ผมแนะนำให้เรียนภาษาฯ ที่ลอนดอน จ่ายมากขึ้นนิดหน่อยแต่คุ้มกว่ากันเยอะครับ เพราะลอนดอน ในมุมมองของผู้เขียนเป็นเสมือนตักศิลา คือเต็มไปด้วยสถานที่เพื่อการศึกษาเรียนรู้มากมาย ไม่ได้จำกัดเฉพาะในโรงเรียนเท่านั้น แทบทุกอย่างคือสิ่งใหม่ และแทบทุกแห่งที่ท่านเข้าไปสัมผัสคือการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ พิพิธภัณฑ์ นิทรรศการต่างๆมากมาย ดูกันไม่หวาดไม่ใหวในแต่ละวัน ทั้งศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่ยังมีชีวิตและล่วงลับไปแล้ว แม่บ้านชาวอังกฤษชอบไปเรียน Painting เอามาแต่งบ้านเองด้วยฝีมือตนเอง และทำได้ดีด้วย เพราะพวกนี้มันปลูกฝังเขามาตั้งแต่ยังเด็ก การเสพงานศิลป์ไม่ใช่เพื่อให้วาดรูปเก่ง เพื่อเสริมสร้างจินตนาการให้กับมนุษย์
ที่สำคัญมากๆ คือที่นั่นคุณเดินได้ทั้งวัน ไม่ต้องนั่งรถไกลๆให้เมื่อย ผู้เขียนชอบเดินที่นั่นเพราะอากาศเย็นสบายแทบไม่เหนื่อยเลย เคยเดินจากสถานี Queensway เลียบสวนสาธารณะชมเมืองไปเรื่อยๆ ผ่านตลาดร้านค้า Piccadilly Circus, Oxford Street และ Covent Garden, TATE Gallery, Trafalgar Square ไปจนถึงสะพาน Tower Bridge คู่บ้านคู่เมืองริมฝั่งแม่น้ำเทมส์เลยทีเดียว ถ้าเทียบกับบ้านเราก็คงเดินประมาณสุขุมวิทเพลินจิต ไปจนถึงสะพานพระปิ่นเกล้าเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าไม่ชอบเดิน การซื้อตั๋วเดือนก็ถือว่าครอบคุลมค่าใช้จ่ายได้ดีและคุ้มมากๆ เพราะใช้ได้ทั้งรถไฟรถเมล์ ดังนั้นขอเน้นย้ำนะครับว่า การไปเรียนรู้ ไม่ใช่ไปเที่ยวแบบ sightseeing คือได้ไปถึงและได้ถ่ายรูปก็พอ
เรื่องของอังกฤษในโอกาสต่อไป จะพาไปเที่ยวลอนดอนแบบเดินตะลุยสไตล์ผู้เขียน รวมทั้งไปเที่ยวให้ทั่วสหราชอาณาจักร ให้คุ้มสุดๆ แบบกึ่ง backpacks ที่ไม่ได้ไปแค่ถ่ายรูปแล้วรีบขึ้นรถ นั่นคือเดินทางไปเอง จองที่พัก B&B เอง ไปสัมผัสชีวิต สัมผัสบรรยากาศที่นั่นแบบไปถึงจริงๆ ผู้เขียนยังประทับใจสุดๆ ไม่ได้ลุยกันแบบหฤโหด เพราะสามารถพาครอบครัวไปสนุกสนานกับการท่องโลกกว้างด้วยกันได้ด้วย