“Thailand’s industrialization has also brought about changes in eating and shopping habits. This is reflected in the popularity of Western-style…” Philip Kotler: The Asian marketplace 1994
มันแปลก…ที่คนต่างชาติทำนายไว้อย่างไม่ผิดพลาดว่าคนไทยจะมีพฤติกรรมในการใช้ชีวิตอย่างไรในอนาคต? และเป็นเรื่องแปลกมากขึ้นที่มีคนไทยหลายคนคงเปรยกับคนรอบ
ข้างบ่อยๆ ว่า “ชีวิตของเรา…ยากจะคาดเดา ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเรา หรือเดือนหน้า หรือปีหน้า…” ก็เลยปล่อยชีวิตให้ไปตามชะตากรรม หาความสุขไปวันๆ หรือเป็นช่วงๆ เช่น สิ้นเดือนนี้จะซื้อสิ่งของที่เล็งไว้นานแล้ว หรือปลายปีจะไปเที่ยวเมืองนอกก่อนที่จะหมดเรี่ยวแรงยามแก่ชรา
ผู้เขียนขออนุญาตตั้งคำถามแบบบ้านๆ ว่า
“ปีใหม่ …ทำไมต้องไปเที่ยวเชียงใหม่…”
“สงกรานต์ …ทำไมต้องไปถนนข้าวสาร” สนุกมากกว่าที่อื่นๆ จริงๆ หรือ?
“กินข้าว …ทำไมต้องไปร้านที่ต้องเข้าคิวเยอะๆ” อร่อย..ชนิดหาร้านอื่นเทียบไม่ได้แล้วหรือ?
“ผมไม่มีเงินเก็บเหลือเยอะแยะ แบบที่ใช้จ่ายอะไรก็ได้อย่างสบายใจนะคุณ”
“ดิฉันมีภาระรอบตัว งานก็ยุ่งทุกวัน กลับบ้านมาก็เลี้ยงลูกดูแลครอบครัว จะเอาเวลาที่ใหนไปสร้างสรรค์ละค่ะ”
…และเชื่อว่าคงมีอีกหลากหลาย “ข้ออ้าง” ที่แตกต่างกันออกไป…
ยอมรับกันได้แล้วครับว่า…คนไทย ชอบเอาอย่างคนอื่น …แค่มากหรือน้อยเท่านั้นเอง
ร้านอร่อยจริงๆ แต่ไม่มีลูกค้าแม้สักคน โดยปกติคุณมักจะไม่วอรี่ว่าจะเป็นแขกคนแรกของวันนั้น…จริงหรือไม่?
กระเป๋าถือแบรนด์นอก ที่คุณซื้อมา คุณซื้อโดยไม่สนยี่ห้อเลย ไม่เคยเห็นใครใช้มาก่อน เป็นเพราะดีไซน์สวย คุณภาพดีคุ้มราคา…จริงๆ หรือ?
เที่ยวยุโรป ด้วยทุนส่วนตัว เพราะอยากท่องเที่ยว อยากศึกษาวัฒนธรรมคนถิ่นไกล … Selfie เป็นเพียงบันทึกการเดินทางส่วนตัว…จริงๆ หรือ?
ผู้เขียนมิได้มีเจตนาดูถูกดูแคลนผู้ใด เป็นแต่เพียงต้องการเปิดมุมมองของการใช้ชีวิต ที่แม้ผู้เขียนเองก็พยายามกระทำอยู่ และทำได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะการเอาอย่างคนอื่น น่าจะเป็นการปิดบัง “มุมมอง” และ “ทางเลือก” ของเราให้น้อยลงไปอีก…หรือไม่? เราถูกปลูกฝังให้เชื่อฟังผู้ใหญ่ ทำอะไรแปลกๆ แหวกแนวไม่ได้มากนัก พอถึงคราวที่ตนเองจะเผชิญโลกกว้าง ก็มักจะไม่กล้าไปไกลกว่าที่เคยเป็นอยู่มากนัก
“ข้อดี” คือ ปลอดภัย
“ข้อเสีย” ก็เป็นดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น
เชื่อหรือไม่ว่า สิ่งเหล่านี้มีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศชาติ เช่น มีคนดังหนึ่งคน มาทำนายว่าปีนี้เศรษฐกิจไม่ดี ชาวบ้านก็จะเริ่มรัดเข็มขัดกันทันที สินค้าบางอย่างที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องมากนัก ก็พลอยกระทบไปด้วย เช่น ร้านก๋วยเตี๋ยวบางแห่งที่เคยขายดี กลับขายได้ไม่ถึงครึ่งของเท่าที่เคย
ในฐานะที่ผู้เขียนเคยทำงานเป็นครีเอทีฟในบริษัทโฆษณามานาน การลอกเลียนแบบไอเดียคนอื่น ไม่ว่าจะมาจากการบอกเล่าหรือจากการศึกษาจากตำรับตำรา ถือว่าเป็นเรื่องต้องห้าม ผิดจรรยาบรรณ แต่การนำมาประยุกต์ใช้ (adaptation) เป็นเรื่องที่พอจะกระทำกันได้ตามสมควร
ฉันใดฉันนั้น การใช้ชีวิตของเรา…ก็น่าจะประยุกต์ได้เช่นกัน เช่น เพื่อนๆ ชวนไปพักรีสอร์ทเขาใหญ่ เที่ยวปาลิโอ เด็ดองุ่นจากไร่ (อีกแล้ว) ทำไมไม่ลองไปทำบุญที่วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม นอนที่วัดหรือรีสอร์ทรอบๆ วัด (วังน้ำเขียว) ตื่นเข้ามาดูตะวันขึ้น แล้วได้ทำบุญตักบาตรด้วย ฟังธรรมจากพระชาวต่างชาติที่วัดป่ารัตวัน คนไปวัดทุกวันนี้ไม่ได้มีแต่คนแก่ เด็กๆ รุ่นใหม่มีมากมาย จะไปเที่ยวเชิงนิเวศน์ หรือหากาแฟอร่อยๆ ในร้านแปลกๆ ใหม่ๆ หาพฤติกรรมใหม่ๆ สลับกันบ้าง เจอประสบการณ์ใหม่ๆ ไม่ดีกว่าหรือ? (ทั้งนี้ท่านต้องศึกษาเส้นทางและหาข้อมูลมาก่อนล่วงหน้า ในเว็บไซต์มีให้ครบถ้วนถ้าเราตั้งใจค้นหาจริงๆ)
ซึ่งถ้าบังเอิญว่ามีคนทำแบบเราเยอะๆ ขึ้นมาจนมากเกินไปแล้ว เราก็ควรหาสิ่งใหม่ๆ ทำไปอีกเรื่อยๆ ได้อีก เพราะเรากล้าที่จะคิดให้หลุดพ้นจากวงจรแบบที่คุ้นเคย ได้เจอสิ่งใหม่ๆ ที่อาจมีผลต่อชีวิตการงานและชีวิตส่วนตัว และยังมีผลดีต่อประเทศชาติในการสร้างเทรนด์ที่เป็น “เทรนด์ของแท้”ไม่วูบวาบแบบไฟลามทุ่ง …ยั่งยืนและมั่นคงกว่าเทรนด์ที่มาจากการอัดเม็ดเงินโฆษณาประชาสัมพันธ์ อย่างที่เป็นกันอยู่ในทุกวันนี้…