หลายวันก่อนมีรุ่นน้องโทรมา
“พี่ครับ ผมมีงานให้ช่วย …รับหรือเปล่าครับ?”
หลังจากพูดคุยกันพักใหญ่ก็พบว่างานเป็นลักษณะเป็นแคมเปญและลูกค้ายังไม่เคยทำโฆษณามาก่อนเลย “ขอโทษด้วยที่เป็นงานเร่งด่วน…ต้องเสนอวันจันทร์นี้เลย พี่ไหวมั้ยครับ?” วันนี้วันศุกร์ ปกติเสือปืนไวอย่างเราไม่เคยยี่หระ แต่ยังหนักใจเรื่องการจ้างวาน เลยขอเคลียร์ให้หายคาใจ
“เอ่อ…แล้วแต่พี่ครับ ยังไงก็ได้” น้องมาแนวลำบากใจ พี่ก็ไปทางตรง
“คืองี้นะครับ เอาแบบตรงๆ ไม่อ้อมไปอ้อมมา…
แบบที่ 1 คือจ้างกันไปเลย นับตามชิ้นงาน หมื่นนึง สองหมื่น เสร็จงานก็จ่ายแยกย้ายกันไป น้องก็ไปลุ้นกับงานเอาเองว่าได้หรือไม่ได้ พูดง่ายๆคือคิดค่าแรง รายได้อื่นๆไม่เกี่ยว
แบบที่ 2 เป็น Sharing Profit คืองานมันหนักที่พี่เสียส่วนใหญ่ค่าจ้างอาจจะแพง และไม่ได้งานมาก็กลุ้มเปล่า งั้นก็เอาพี่ไปลุ้นด้วย แต่ต้องแชร์รายได้กันนะ ว่าไปตามเนื้องาน ใครทำมากได้มากหรือสมมุติว่าสามคนทำเฉลี่ยเท่าๆกันก็แบ่งสามส่วน …แฟร์ๆ
งานใหนก็แล้วแต่ ผมเน้นความยุติธรรม และขอคุยให้จบล่วงหน้าก่อน จะได้ทำงานอย่างสบายใจ หากไปคุยเอาตอนท้ายๆ ได้ทะเลาะกันชัวร์ เรื่องเงินเห็นมามากแล้ว
“ได้พี่ …ผมขอถามอีกคนหนึ่งก่อนเขาเป็นคนจัดสรรค์เรื่องมีเดีย และเขาเป็นคนประสานงานเรื่องนี้”
“อ้าว น้องไม่ได้ทำเองเหรอ”
“เปล่าครับ เขาติดต่อมาขอให้ช่วย ปกติเขาทำสิ่งพิมพ์ อยากขยายงานเลยติดต่อผมว่า และงานนี้ยังไม่มีอะไรเลย ผมว่าน่าจะเข้าทางพี่”
แหง ละน้องพี่…ไม่เคยมีโฆษณา แต่อยากได้สปอตโฆษณา ไม่เคยทำ research ไม่เคยมี concept ที่สำคัญ Branding ต้องกำหนดให้ด้วย Marketing ล้วนๆ แถมงานที่ทำก็ประเภทลาก concept ยาว ตั้งแต่หนังโฆษณา Scoop (ยอดนิยม) ไปจนถึงรายการโทรทัศน์สัมภาษณ์ผู้บริหาร ทั้งหมดนี้ยังไม่มี concept ยังไม่มีชื่อรายการ ยังไม่มีแบบร่างสคิ๊ป ยังไม่มีอะไรเลย!! นึกในใจว่า พี่ทำเสียทุกอย่าง พี่ทำเองดีกว่ามั้ง ถ้าเอาแบบจ้างทำ เยอะขนาดนี้จะคุ้มไหมเนี่ย
“ตกลงว่าเอาแบบ sharing Profit ละกันพี่”
“โอเค” ค่อยโล่งใจเรื่องเงินๆทองๆ
“แต่เขาให้มาแบ่งกันแค่สามแสนกว่าๆนะพี่”
ผมอ้าปากค้าง รีบถามกลับไป
“คือทั้งหมดจะยื่นเสนอประมาณ 1.3 ล้าน แต่ค่ามีเดียเขาบอกว่าหมดไปแล้วเกือบเก้าแสน
เหลืออยู่เท่านี้แหละพี่ ให้เรามาแบ่งกัน”
นึกในใจรอบสอง คำนวนแบบเร็วๆ ได้ค่ามาดังนี้
บริษัทสิ่งพิมพ์ วิ่งหาซื้อมีเดียทีวีเอง หักกำไรเบ็ดเสร็จรวมแล้วเก้าแสน ที่เหลือสามแสนกว่าๆคือค่าผลิต…อืม…งาน Production มีประมาณ 4 กองขึ้นไป คนละวัน คนละสถานที่ บางงานจบวันเดียวไม่ได้ กล้องตัวเดียวไม่มีทางเอาอยู่ อย่างน้อยต้องสองตัวขึ้น ไฟพร้อมคนพร้อม สตูดิโอ ค่าทำเสียงค่าตัดต่อ….กองหนึ่งๆ ลงทุนอย่างน้อย 7-8 หมื่น อันนี้คิดแบบเอเจนซี่เล็กๆ ประหยัดสุดๆแล้วนะ ที่มีครีเอทีฟในกอง มีผู้กำกับ น่าจะดูดีพอสมควร ไม่ใช่แบบที่เจ้าของกล้องกับลูกน้องอีกสองคน แบกเอง ถ่ายเอง กำกับเอง อย่างนั้นก็เลือกเองตามถนัดครับ…ผมไม่สู้จริงๆ….รวมเบ็ดเสร็จ 4 งาน x 7 หมื่น (งานละ) = 280,000 บาท อันนี้คร่าวๆนะ เอ่อ…แต่น้องให้งบมาสามแสนต้นๆ พี่จะบอกน้องว่าไงดี
เอาแบบตรงๆละกัน
“พี่ว่าทุนเราอย่างน้อยๆ กดแล้วต้องมีสองแสนห้า…” คำนวนให้ฟังคร่าวๆ
“ที่เหลือน่าจะซักแสนนึงแบ่งกัน 3 คน ครีเอทีฟ(ตัวพี่) กราฟฟิก(น้องที่คุยด้วย) และกองถ่ายที่เราจะไปจ้าง(เพื่อนกัน)…เสี่ยงมากๆเลยนะ”
“เราพอจะขอเขาเพิ่มได้มั้ยเนี่ย แล้วมีเดียเขาเป๊ะๆ อย่างนั้นเลยเหรอ พี่พอช่วยได้นะพอมีเพื่อนช่วยซื้อ เอ็มกรุ๊ปก็มี ซื้อตรงก็มี เขาอยากแชร์เรามั้ยตรงนั้น”
เราก็ไม่มั่นใจว่าเขาอยากเปิดเผยตัวเลขของเขา กลัวไปกระทบรายได้เขา…เกรงใจ
“พี่ลองคุยกับเขาดูมั้ย”
“ได้ครับ”
วันถัดมาช่วงเช้าๆ (วันเสาร์)
“สวัสดีค่ะพี่ ไม่ทราบพี่อยากทราบเรื่องอะไรคะ”
“คือพี่อยากช่วยเรื่องมีเดียน่ะครับ พอจะมีพรรคพวกหาได้ถูกๆอยู่บ้าง เพราะค่าโปรดักชั่นสามแสนพี่กลัวว่าจะไม่พอ”
“ตั้งสามแสนนะพี่ ไม่พออีกเหรอ?”
น้องร้องด้วยความประหลาดใจ พี่ก็อธิบายอย่างคร่าวๆ เพราะน่าจะเข้าใจกันได้ง่ายๆ
“ถ้างั้นหนูยังขาดอยู่ตัวนึง ลงสปอตหลังข่าว พี่หาให้หน่อยสิคะ หนูว่าหนูหาได้ถูกแล้วนะ”
น่าน…ไม่แชร์ข้อมูล แล้วยังเอางานยากๆที่เหลือ มาท้าทายกันเล่นอีก
“คือพี่อยากช่วยทั้งก้อนเก้าแสนน่ะครับ ยังไงส่งรายละเอียดมาได้มั้ยครับว่าซื้อที่ใหนบ้าง ราคาเท่าใหร่ เผื่อพี่หาได้ถูกกว่า”
อันนี้ด้วยสัตย์จริง และกล้าสาบานเลยว่าตูไม่เอาเปอร์เซนต์มีเดียกับเอ็งหรอก แค่อยากหายใจคล่องๆแถวโปรดักชั่น ทำงานทุกวันนี้ก็เอาค่าจ้างแค่พอมีพอกินและเลี้ยงลูกได้ก็พอแล้ว
“เอ่อ…อันนี้หนูก็ต้องปรึกษาเจ้านายก่อน” เอ่อ…ก่อนโทรหาพี่ น้องไม่ได้ปรึกษาเจ้านายเลยเหรอครับ
เลยสงสัยว่าน้องกำลังคุยอะไรกับพี่เพื่อให้ได้อะไรครับ ถ้าไม่ได้รับคำยินยอมจากเจ้านาย? เคยทำแต่กับพวก Consumer Product ใหญ่ๆ เช่นพวกบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติทั้งหลาย ที่ชอบเอาลูกน้องมารับเรื่องเป็นหนังหน้าไฟ หรือเพราะเจ้านายแสนยุ่ง ลูกน้องก็โคตรเก่ง แก้งานแหลกลาญสนุกสนานกันแบบนึง ไปถึงหัวหน้าก็แก้ไขงานกันอีกแบบ ถึงตรงนั้น concept แข็งๆเหลือแต่วุ้นๆ
วันอาทิตย์ช่วงสายๆ
ก็ได้สนทนากับน้องคนแรกที่ทาบทามเข้ามา
“พี่ครับ ต้องขอโทษด้วย อาจจะเข้าใจกันผิดอะไรบางอย่าง เขาขอถอนตัวไปแล้วครับ”
คิดในใจ “ไม่ผิดหรอกครับ” ใครรับงานมาก็หาคนทำรายจ่ายถูกๆ หักรายได้ไว้ให้มากที่สุด เป็นใครก็ทำอย่างนั้น…ไม่ว่ากันครับ แต่งานนี้ถ้ามี Positioning แล้วแบบ Black Label แค่คิดทำของใหม่สำหรับปีต่อไปจะไม่ว่ากันเลย นี่เริ่มใหม่หมด Concept ไม่มี, Positioning ไม่มี, ชื่อรายการก็ยังไม่มี, สคริ๊ปก็ยังไม่มี อืมม…คนรับงาน มาช่วยคิดแทนคนทำหน่อยครับ ท่านอาจมีเส้นสาย แต่การทำนาบนหลังคนอื่นแบบนี้ มันน่าภาคภูมิใจเหรอครับ? จริงๆ หากจะเอาดีทางนี้ ควรตั้งบริษัทหรือเอเจนซีจ้างทีมให้ครบเลยดีกว่า มองในแง่ค่าใช้จ่ายระยะยาว…ถูกกว่าด้วย ที่สำคัญ…น่าจะได้ชื่อหรูๆว่า “ผู้บริหาร” แทนคำว่า “พ่อค้าคนกลาง”
“เอ่อ…พี่ก็จะบอกน้องเหมือนกันครับว่าจะขอถอนตัว
อยากรักษาความเป็นพี่เป็นน้องไว้แบบนี้ดีแล้ว…กลัวทะเลาะกันครับ”