ปี ค.ศ. 2016-2017 “โอซาก้า” ขึ้นแท่นอันดับ 1 เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นสูงสุด (24%) ,ส่วนโตเกียว เพิ่มขึ้น 17% อยู่อันดับ 6 จาก 132 เมืองทั่วโลก ในการจัดอันดับเมืองยอดนิยมที่สุดของนักท่องเที่ยวโดย Master Card : USA
“ทำไมผู้คนถึงนิยมชมชอบเดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น” ทั้งๆที่ค่าใช้จ่ายก็ไม่น้อย ของเขามีดีอะไรนักหนา…วันนี้ ผู้เขียนจะเล่าถึงเรื่องประเทศญี่ปุ่นในมุมมองของผู้เขียนเองนะครับ ความจริงก็เคยมีเพื่อนสนิทชาวญี่ปุ่นหลายคนทั้งหญิงและชาย ในช่วงที่ผู้เขียนไปศึกษาภาษาอังกฤษในกรุงลอนดอน (ก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย) พอจะทราบถึงบุคลิกและขนบธรรมเนียมโดยทั่วไปของชาวญี่ปุ่นมาพอสมควร ซึ่งก็ไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มอะไรมากมาย เคยแลกเปลี่ยนทำกับข้าวให้กันกินบ่อยๆ รู้ดีว่าชาวญี่ปุ่นมักจะแสดงออกทางด้านสีหน้าอารมณ์อย่างรวดเร็ว บางคนบอกว่า“เว่อร์” แต่ผู้เขียนคิดว่าน่าจะเป็นเพียงบุคลิกของเขา ไม่คิดว่าเป็นการเสแสร้งหรือแกล้งทำนะครับ ผู้เขียนเรียบจบปริญญาโทแล้วก็ยังไม่มีความคิดที่อยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่นเลย จน 20 กว่าปีผ่านไป ถึงคิดจะไปเที่ยวญี่ปุ่นเนื่องจากภรรยาเปรยๆว่าอยากพาลูกไปเที่ยวต่างประเทศในแถบเอเชียลองดูบ้าง..ประเทศญี่ปุ่นเป็นอันดับต้นๆในหัวของผม
“ประเทศญี่ปุ่น…ไม่ไปไม่รู้”
- สภาพอากาศ…ครั้งแรกที่ได้ไปญี่ปุ่นเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ สัมผัสแรกคืออากาศที่เย็นสบาย ประมาณ 18-20 องศาเซียลเซียส แปลกมาก…อากาศจะคล้ายๆกับช่วงต้นฤดูร้อนของกรุงลอนดอนที่ผมชอบมาก แถมอากาศที่สูดเข้าไปรู้สึกได้เลยว่าคล้ายกันมาก …โดยส่วนตัวผู้เขียนชอบอากาศของประเทศอังกฤษที่แม้จะหนาวเย็นสักหน่อย เพราะแม้จะเดินเล่นทั้งวันก็ไม่ค่อยเหนื่อย แทบไม่มีเหงื่อเลย… ท่านที่เคยไปสองประเทศนี้ ลองเปรียบเทียบแบบผมดูนะครับ ในความคิดของผู้เขียน…การไปเที่ยวต่างประเทศต้องแบบนี้ครับ บินไปเพียง 6 ชั่วโมงแล้วได้อากาศแบบนี้ อืมมม…ผมคิดว่าได้เจอสถานที่ท่องเที่ยวที่อยากไปพอๆกับลอนดอนแล้วละครับ การท่องเที่ยวของผมต้องไม่ใช่ไปแล้วทรมานสังขาร เช่น เดินกลางแดดเปรี้ยง บ้านเมืองสกปรก รกร้าง เจอผู้คนที่ไม่เป็นมิตร หรือยิ่งอยู่นานๆ ยิ่งอยากกลับบ้าน… อันนั้นไม่ใช่แบบที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นสถานที่อยากไปเที่ยวครับ ยกเว้นท่านที่ไปเพราะเรื่องงานหรือชอบแนวผจญภัยสุดขอบโลก ก็ไม่ว่ากันนะครับ คนเราต่างจิตต่างใจ ความชอบก็ต่างกันได้ครับ
- บ้านเมือง…ท่านที่มีประสบการณ์ในการเดินทางเข้าเมืองโดยใช้รถไฟด่วน เมื่อมองไปนอกหน้าต่างรถไฟแล้วน่าจะพบเห็นสิ่งที่คล้ายๆกัน…บ้านแต่ละหลังของชาวญี่ปุ่นเรียงกันอย่างสวยงาม ออกแบบมาเป็นกล่องสี่เหลี่ยมแบบง่ายๆ แต่มีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่เต็มไปด้วยความพิถีพิถัน แถมยังใช้กระเบื้องโมเสสแผ่นเล็กๆ ติดบนผนังบ้านแทนการทาสีเหมือนกันแทบทุกหลัง ผมพยายามมองหาบ้านที่ทาสีแบบบ้านเรา แต่ก็หาเจอน้อยมาก จึงแลดูเป็นระเบียบเรียบร้อยพร้อมเพรียงกันดีมาก สภาพอากาศอากาศเย็นๆ ความชื้นสูงคงไม่เอื้อกับการใช้สีทาบ้าน กลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่นักท่องเที่ยวทุกคนคงจำกันได้ดี บ้านแต่ละหลังแม้จะมีตั้งบนพื้นที่ที่มีขนาดเล็กนิดเดียว แต่ก็ออกแบบได้สวยงามน่าพิศวง..ดูเหมือนว่าคนญี่ปุ่นโดยทั่วไปมีศิลปะอยู่ในตัวตนไม่น้อยเลยทีเดียว ถนนหนทางที่แม้จะมีซอกเล็กซอกน้อยเยอะแยะไปหมด แต่กลับดูสะอาดสะอ้าน แยกแยะได้ง่ายราวกับเป็นเมืองเลโก้ ที่มีไซส์ขนาดเท่าจริงเลยทีเดียว ท่านที่เดินหาถังขยะตามริมถนนอาจจะถึงกับร้องไห้ เพราะไม่มีถังขยะให้ทิ้ง คุณต้องนำกลับไปทิ้งในอาคาร ในจุดที่จัดให้ทิ้งเท่านั้น …ทำให้นึกถึงหลายประเทศที่มีถังขยะคอยอำนวยความสะดวกให้ทิ้งขยะกันมากมาย แต่กลับทำให้บ้านเมืองสกปรกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในจุดที่ทิ้งขยะนั่นเอง… ผมเคยไปเที่ยวแล้วลืมทิ้งขยะที่ร้านหรือในอาคาร เพราะคิดว่าจะหาถังขยะริมถนน เล่นเอามือแทบห้อยครับ เพราะไม่มีถังขยะให้ทิ้งเลย ผู้เขียนเคยสงสัยว่าจะสะอาดอย่างนี้ทั้งประเทศมั้ย…คำตอบคือทั้งประเทศเลยครับ เขาไม่จำเป็นต้องรณรงค์ให้ช่วยกันรักษาความสะอาด ทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเอง ทุกคนมีสำนึกรักในสิ่งที่ทำ ช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมของตัวเอง จะรู้สึกละอายถ้าไปทำลายสภาพสิ่งแวดล้อม สังเกตุได้จากที่สาธารณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคู คลอง น้ำตก ไม่มีเศษถุงพลาสติก กระป๋องน้ำอัดลมหรือเศษขยะใดๆให้เห็นเลย เป็นเรื่องมหัศจรรย์เมื่อเทียบกับบางประเทศที่มีการศึกษาใกล้เคียงกัน ผู้เขียนเชื่อว่าชาวญี่ปุ่นรุ่นเก่าๆบางคนก็ไม่ได้เรียนมาสูงมาก แต่มีจิตสำนึกที่สูงส่งในสิ่งเหล่านี้ ด้วยการปลูกฝังที่แตกต่างกันมาก…เรื่องนี้ต้องขยายครับ ชาวญี่ปุ่นมีทุนเดิมในเรื่องของชาตินิยมอยู่แล้ว ซึ่งส่งผลดีหรือด้อยอย่างไร…จะเขียนแชร์ไอเดียให้ทุกท่านได้อ่านในโอกาสต่อไปครับ
- ชาวญี่ปุ่น…ผู้ที่มีชีวิต ไม่ธรรมดา …อากาศเย็นๆ อาจมีผลทำให้ผู้คนมีอารมณ์เย็นกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ การเข้าแถวซื้อตั๋วรถไฟหรือการเข้าแถวหน้าร้านอาหาร แม้แถวจะยาวมาก ชาวญี่ปุ่นก็ยืนใจเย็นเข้าแถวกันอย่างชิลๆ ผมเคยถามชาวญี่ปุ่นบางคนในเรื่องนี้ เขาบอกว่าการยืนรอเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้น่าเบื่อประการใด เพราะไม่ได้ทำลายความสุขของเขา ยืนคุยกันไปเล่นๆ สักพักก็ได้คิว…ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน… เลยไม่มีใครเบียดเสียดยื้อแย่งแข่งกัน คงจะมีแต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ทำเช่นนั้น สังเกตุได้อีกอย่างว่าใครเป็นนักท่องเที่ยว โดยดูจาก “พฤติกรรมการใช้บันไดเลื่อน”…โดยเฉพาะในเวลาชั่วโมงเร่งรีบ คนที่ไม่รีบเขาจะยืนหลบด้านซ้ายสุดเพื่อเปิดที่ว่างให้คนที่รีบเดินแซงขึ้นไปทางด้านขวา…แต่คนต่างชาติส่วนใหญ่ มัวแต่สนใจตัวเอง จะคุยกันเพลิน แล้วยืนเกะกะขวางทางเดิน โดยไม่สนใจเปิดทางให้คนอื่นตามธรรมเนียมที่คนท้องถิ่นปฏิบัติให้เห็นกันอยู่ มองเห็นได้ชัดว่านี่คือ ความงดงามทางวัฒนธรรมของผู้เจริญแล้ว
หลายคนไปญี่ปุ่นด้วยสิ่งที่ชอบต่างกัน บางคนชอบวิวสวย บางท่านชอบสถาปัตยกรรมโบราณของญี่ปุ่น บางคนชอบอาหารท้องถิ่นที่ทำสดๆใหม่ๆ ฯลฯ แต่ในมุมมองของผู้เขียน สิ่งที่มีเสน่มากที่สุดของประเทศญี่ปุ่นคือ “ชาวญี่ปุ่น” ผู้ยึดมั่นต่อระเบียบวินัยในการดำรงชีวิต สปิริตในการทำงาน ขนบธรรมเนียมอันงดงาม การให้เกียรติกันและกัน ความมีมิตรไมตรีจิตช่วยเหลือแม้กับคนแปลกหน้า…(ผู้เขียนได้เจอกับตัวเอง) ความเอาใจใส่ทุกรายละเอียด “ความผิดพลาด” แม้จะเล็กน้อย ก็จะถูกมองว่าคือ”ความบกพร่อง”…ผู้เขียนเชื่อว่า นี่คือสิ่งที่นักท่องเที่ยวแทบทุกคนชื่นชมไม่สามารถนำมาถ่ายทอดได้หมดในภาพถ่าย …และไม่เท่ากับการไปสัมผัสด้วยตัวเอง
บทแรกของการเที่ยวญี่ปุ่นขอจบเพียงเท่านี้ ผู้อ่านคงเห็นภาพชัดขึ้นว่า ทำไมผู้เขียนถึงอยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่นอีกสักหลายครั้ง บอกตรงๆว่าไม่ได้อยากไปเป็นชาวญี่ปุ่น ยอมรับว่าครั้งหนึ่งเคยมีอคติในเรื่องสงครามโลกฯ เลยไม่เคยคิดอยากไปเที่ยว ไม่อยากสัมผัส แต่พอได้ไปสัมผัสตัวตนจริงๆ ได้เห็นคนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ยังทำงานหนัก ทุ่มเทรับผิดชอบงานอย่างสุดหัวใจ ผู้เขียนถูกเลี้ยงมาแบบพอเพียง คงทำไม่ได้…ยอมรับว่า “ชื่มชม” ชาวญี่ปุ่นที่ยังคงมีวัฒนธรรม จริยธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ยึดถือกันได้อย่างเหนียวแน่น …ส่วนเรื่องอาหารการกิน ก็อยากเตือนนักท่องเที่ยวที่ชอบพวกอาหารดิบกันสักหน่อย เพราะเขาขยันโปรโมทอาหารกันดีจัง แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ได้แจ้งไว้คือ สถิติของชาวญี่ปุ่นที่มีพยาธิก็ติดอันดับโลกเหมือนกัน รับประทานของร้อนๆ ดีกว่านะครับ
บางท่านยังชอบเมืองไทย ยืนยันที่จะ “เที่ยวทั่วไทย” ผู้เขียนขอกราบในหัวใจงามๆ สำหรับผู้เขียนก็พาครอบครัวเที่ยวในไทยประมาณเดือนละ 1 ครั้ง ไปมาหมดทั้งเหนือใต้ตะวันออกและตะวันตก ผมและลูกชายชอบไปกางเต๊นท์ในวนอุทธยานต่างๆ ผู้เขียนยังชื่นชอบความเป็นไทย ความมีอิสระทางความคิด รวมทั้งศิลป วัฒนธรรมที่เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก แต่หลายปีมานี้รู้สึกว่าตัวเองเริ่มแก่ ไปใหนมาใหนลำบากขึ้น แค่จะลุกจะนั่งก็เริ่มทำได้ยากแล้ว เลยตั้งเป้าไว้ว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศปีละ 1-2 ครั้ง ก่อนที่จะไม่มีแรงเดินเที่ยวหรือแก่ตายไปก่อนเพราะมัวแต่พูดคำว่า “เอาไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยหาเวลาไปกัน” ทุกวันนี้มีตั๋วเครื่องบินโปรโมชั่นถูกๆ ออกมาบ่อยๆ หากพบราคาที่ถูกมากผู้เขียนก็ไม่รีรอที่จะจองและบินไปคนเดียวเพราะคนอื่นไม่ได้คิดจะเที่ยวแบบเรา ไปด้วยกันก็ดึงกันไปมา เสียอารมณ์เปล่าๆ เอาไว้เที่ยวแบบเป็นแก๊งค์พร้อมกันดีกว่า เพราะจะมีการวางแผนการเที่ยวไปอีกแบบ…
การได้ไปสัมผัสประเทศญี่ปุ่นแบบสโลว์ไลฟ์ นั่งละเลียดจิบกาแฟถ้วยโปรด ชื่นชมกับทุกสิ่งที่เล่ามา..คือความสุขที่แตกต่างจากบ้านเมืองเรา สำหรับผู้เขียนได้ไปเพียงแค่นี้ก็พอแล้วล่ะครับ…ยังไม่มีประเทศอื่นในหัวเพราะคำว่า “พอแล้ว” ท่องเที่ยวต่างประเทศปีละ 1-2 ครั้ง ขอแค่นี้ก็พอใจแล้ว เพราะ“ความสุข” ของแต่ละคน น่าจะมีนิยามที่แตกต่างกัน เวลาไปเที่ยวต่างประเทศผู้เขียนชอบเดินดูวิถีชีวิตผู้คนต่างถิ่น ไปสัมผัส ไปนั่งดูได้เป็นวันๆ เปลี่ยนบรรยากาศของชีวิต เปิดรับสปิริตใหม่ๆ ค่อยๆ ซึมซับประสบการณ์ใหม่ๆ… ยอมรับว่าได้เปิดโลกทัศน์รับรู้สิ่งใหม่ๆ จากประเทศญี่ปุ่นมากมาย ทั้งทางด้านศิลปะที่ผู้เขียนได้ศึกษาร่ำเรียนมาและการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
มีคนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นบางคน กล่าวไว้ว่า…”ไม่เคยมีครั้งเดียว” และ “ต้องไปตามเก็บหัวใจที่เผลอทำหล่นทิ้งไว้ที่โน่น” ผู้เขียนเองก็ยังมีความประทับใจอีกไม่น้อย ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “ญี่ปุ่น” ในมุมมองของผู้เขียนอีกมากมาย และน่าจะแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง…โปรดติดตามในบทต่อไปนะครับ