เพิ่งได้ดูคุณโน้ต เดี่ยว 10 กล่าวถึงเรื่องขำๆ เกี่ยวกับการขับรถที่ไม่มีน้ำใจให้กัน พอเปิดไฟเลี้ยวกระพริบขอทางหรือเปลี่ยนเลนอยู่นาน ก็ไม่มีใครมีน้ำใจหยุดรถให้ ต้องทำตัวแบบรถแท็กซี่ ปาดหน้าคนอื่นถึงจะได้ไป คิดขึ้นได้ว่า ตัวเองก็มีประสบการณ์แบบนี้แทบทุกวัน ก็ขอเขียนเรื่องนี้สักหน่อย
ที่บอกว่าไม่มีน้ำใจในประเด็นนั้น ต้องดูก่อนว่าคุณขับรถมาเลนไหน? และขับมาไกลแค่ใหนแล้ว? ไม่ใช่ขับรถชิดเลนขวามาตลอดจนถึงสี่แยกไฟแดง แล้วปรากฎว่าเลนขวาสุดเขาบังคับให้เลี้ยวขวาอย่างเดียว ก็พยายามดิ้นรนไปหักดิบคันอื่นเขา กระพริบไปถี่ๆ ตรงใกล้ๆไฟแดง เมื่อไม่มีใครยอมก็ปักหัวออกมา ทั้งๆที่อีกเลนรถกำลังวิ่งต่อๆกันมาอยู่ ก็ต้องเบรคกันหัวทิ่ม ดีไม่ดีอาจโดนคันหลังชนท้ายเข้าให้ ก็ได้แต่หยุดรถมองหน้ากัน ด้วยอารมณ์ที่ไม่โสภากันทั้งสองฝ่าย ถ้าไปเจอคนใจร้อนๆ มีปืนในรถก็อาจจะเกิดอารมณ์ชั่ววูบ ทำร้ายกันหรือเสียชีวิตกันได้เรื่องเพียงแค่นี้เอง เห็นกันได้บ่อยๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างจุดที่เจอเรื่องแบบนี้ได้ทุกวัน เพราะต้องไปรับลูกที่โรงเรียนทุกวัน ใครสนใจไปพิสูจน์กันได้ครับ นั่นคือสามแยกโพธิ์แก้ว บนถนนนวมินทร์ (ที่จะตัดไปซอยลาดพร้าว 101) ถนนเส้นนี้มีสามเลน เมื่อคุณขับรถผ่านสี่แยกเกษตร-นวมินทร์มุ่งหน้าบางกะปิจะไปถึงจุดดังกล่าว จะเป็นทางโค้งๆ ก่อนถึงสามแยกไฟแดง เรียกว่าแยกโพธิ์แก้ว ถ้าคุณไปบ่อยๆ จะรู้ว่าเมื่อข้ามสะพานเล็กๆไปแล้ว ก็ควรจะสลับเลนให้ถูกต้องได้แล้ว เพราะเหลืออีกไม่กี่สิบเมตรก็จะเจอรถติดไฟแดงแน่นอน จะตรงไปก็สองเลนซ้ายมือ จะเลี้ยวขวาเข้าซอยโพธิ์แก้วก็ชิดขวาสุด สิ่งที่คุณจะเจอคือช่องใหนว่าง…มันมุดไปกันทุกรู จะมีคนเปิดไฟกระพริบขอทาง สลับกันไปมาแบบที่คุณโน้ตว่า แต่มันมีทั้งสองข้าง คนจะตรงไปก็ดันไปเข้าเลนขวาสุด เพราะถ้าทางตรงเจอไฟแดง มันก็จะว่างกว่า ส่วนคนจะเลี้ยวขวาที่ไม่อยากต่อแถว ก็ขับเลนซ้ายแล้วไปหักเข้าที่หัวแถว ตรงนี้ถ้าหัวแถวมันไม่มีที่เหลือให้เสียบหมดทั้งคัน ท้ายรถก็จะคาอยู่ตรงเลนกลาง รถที่กำลังจะวิ่งตรงไปก็ไปไม่ได้ กลายเป็นว่าต้องรอจังหวะไฟเขียวเลี้ยวขวาไปด้วย รถที่ตามหลังมาก็ติดกันระนาว เปิดไฟกระพริบแย่งทางกันในทุกเลนถนน ถ้าใครตามหลังมาแล้วเจอแบบนี้ แนะนำว่าไม่ต้องจอดรถไปต่อว่าให้เกิดเรื่องนะครับ แค่บีบแตรดังๆ ยาวๆ สักหน่อย ตำรวจจราจรที่อยู่บนป้อมยาม จะออกมาจัดการรถคันนั้นอย่างแน่นอนครับ
ผมเชื่อว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนี้แค่แยกโพธิ์แก้ว มันแทบจะทุกจุดของเมืองหลวงที่มักมีการจราจรคับคั่ง เช่น สี่แยกอโศก คอสะพานใหญ่ๆ ที่ไม่มีจราจรหรือกระทั่ง “จ่าเฉย” มายืนคุม รอไฟแดงนานๆ จนแทบจะทำกันลูกได้หลายคน พอไฟเขียวเท่านั้นแหละ คนที่เคารพกฏระเบียบของบ้านเมืองที่รออยู่ในแถวตามเวรตามกรรม
ก็จะเจอพวกเปรตที่เปิดไฟกระพริบวิ่งผิดเลนกันว่อน ไปรอหักคอคนอื่น เอาเปรียบชาวบ้านอยู่ข้างหน้า นี่คือที่มาของสติ๊กเกอร์ “กูก็รีบ” แต่หาได้หยุดยั้งคนเหล่านี้ได้ไม่ ในเมื่อกล้าจะมาสายมาร ก็ต้องติดฟีล์มดำๆไว้ก่อน กันสายตาคนดีจะมาทำร้ายจิตใจตน เกิดมาในปีชีพจรลงเท้า มันรีบกว่าใครทุกวัน ทุกครั้งที่ขับรถ…หรือสงสัยว่าบิดามันทำถนนไว้ให้…ผมแนะนำเจ้าหน้าที่บ้านเมือง แค่ดักจับคนพวกนี้ในหลายๆจุดทั่วกรุง ก็น่าจะได้งบประมาณบ้านเมืองมาเพิ่มอีกไม่น้อย
คำแนะนำ
ผมได้อ่านบทความของผู้เขียนท่านหนึ่ง “วิศาล อั่งสกุล” ในหนังสือ เดอะ ดิสทริค (ฉบับที่ 5) กล่าวไว้ว่าเมื่อใหร่ที่เจอเรื่องประมาณนี้บนท้องถนน ก็ให้ทางเขาไปเถอะ คิดเสียว่าให้ทาน ให้ทานความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของเขา และของเราด้วย ถ้าเราทำใจได้ เราก็จะไม่มีอารมณ์โกรธบ่อยๆ ความโกรธเป็นก่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย ปล่อยให้เขาไปเถอะ ไม่ว่าเขาจะผิดหรือถูกก็ช่างเขา เพราะถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาแล้ว อาจมีทะเลาะวิวาท บาดเจ็บ หรือเสียชีวิตได้
ผู้เขียนเองก็พยายามทำใจแบบว่า ถ้าใครเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ แนะนำว่าให้ปล่อย “มัน” หรือเขาเหล่านั้นได้ไปตามทางของเขาเถิด เพราะเส้นทางนั้น มันไม่ได้พาใครไปสวรรค์หรอก… อย่าตามเขาไปเลยครับ